ผลกระทบด้านการศึกษา
หลักสูตรและการสอนของไทย
จากการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน
ดร.จุไรศิริ ชูรักษ์*
..............................................................................................................................................
บทนำ
ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ.
2015) เป็นปีที่ประชาคมอาเซียนมีผลอย่างสมบูรณ์ตามข้อตกลงที่ประเทศสมาชิกได้ลงนามร่วมกันในกฎบัตรอาเซียน
(ASEAN Charter) ส่งผลให้ประเทศสมาชิกประชาคมจำนวน 10
ประเทศต้องดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก (pillars) ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and
Security Community-APSC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN
Economic Community-AEC) และประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio – Cultural Community-ASCC)
จากกฎบัตรอาเซียนดังกล่าว ได้นำไปสู่การกำหนดแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนครอบคลุมทั้ง
3 เสาหลัก สำหรับแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน
(A Blueprint for ASEAN Socio-Cultural Community)
ได้กำหนดให้การศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน
โดยถือว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกในการเสริมสร้างวิถีชีวิตที่ดีของประชากรในภูมิภาค
จึงกำหนดให้มีการดำเนินงานด้านการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาค
ดังนั้น
การศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประชากรในประชาคมให้มีคุณภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาในด้านต่าง
ๆ ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและวัฒนธรรม
การศึกษาไทยจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายการสร้างประชาคมอาเซียน
ดังนั้น ภายในปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมและปรับตัวด้านการศึกษา
ตลอดจนหลักสูตร และการสอนให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาเด็ก เยาวชน และประชาชนคนไทยให้มีความรู้ความสามารถ
คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายในวิถีทางที่สอดรับกับข้อตกลงที่กำหนดในกฎบัตรอาเซียน อย่างไรก็ตาม หลังปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีความเป็นนานาชาติในวงกว้างมากขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในด้านการศึกษา
ตลอดจนหลักสูตรและการสอนที่ต้องมีความทันสมัย รองรับกับความเปลี่ยนแปลง และให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ
ทักษะการทำงาน และคุณลักษณะต่าง ๆ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒธรรมในสังคมอาเซียนต่อไป
อาเซียน (ASEAN) คืออะไร และมีเป้าหมายอย่างไร
อาเซียน หรือ
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations - ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (The
Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510
โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งมี 5 ประเทศ ได้แก่
อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่าง ๆ
เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม ลาว พม่า และกัมพูชา ตามลำดับ จากการรับกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก
ทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศ วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งอาเซียน ได้แก่
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี
และการบริหาร ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ
โดยมีกฎบัตรอาเซียนที่เปรียบเสมือนเป็นธรรมนูญของอาเซียนที่จะทำให้อาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล
เป็นการวางกรอบกฎหมายตลอดจนโครงสร้างองค์กรให้กับอาเซียน
โดยนอกจากการประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการ และแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการสำหรับประเทศสมาชิกแล้ว
ยังมีการปรับปรุงแก้ไขและสร้างกลไกใหม่ขึ้นพร้อมกับกำหนดขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรสำคัญในอาเซียน
ตลอดจนความสัมพันธ์ในการดำเนินงานขององค์กรเหล่านี้ เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในการดำเนินการของประเทศสมาชิกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดในหลักการพื้นฐานที่ปรากฏในลักษณะต่าง
ๆ ได้แก่ ปฏิญญา ความตกลง อนุสัญญา ข้อตกลง สนธิสัญญา และตราสารของอาเซียนนั้น ประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่กำหนด
ได้แก่ 1) การเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน
และอัตลักษณ์แห่งชาติของประเทศสมาชิก 2) ความผูกพันและความรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ
ความมั่นคงและความั่งคั้งของภูมิภาค 3) การไม่ใช้ความรุนแรงและการข่มขู่
หรือการกระทำอื่นใดที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 4)
การอาศัยการระงับข้อพิพาทโดยสันติ 5)
การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก
6) การเคารพสิทธิของประเทศสมาชิก
7) การปรึกษาหารือในเรื่องที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ร่วมกัน 8) การยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล
หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ
9) การเคารพเสรีภาพพื้นฐาน การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม
10) การยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ 11) การละเว้นการมีส่วนร่วมในนโยบายหรือการใช้ดินแดนของตนที่เป็นการคุกคามประเทศสมาชิก 12) การเคารพในวัฒนธรรม ภาษาและศาสนาที่แตกต่าง
โดยเน้นคุณค่าร่วมกันของประชาชนอาเซียนด้วยจิตวิญญาณของเอกภาพในความหลากหลาย 13) ความเป็นศูนย์รวมของอาเซียนในด้านต่าง ๆ
โดยการมีส่วนร่วม และไม่ปิดกั้น และ 14) การยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียนที่มีระบบเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยตลาด
(กรมประชาสัมพันธ์, 2555
; สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2555; The official website of the
Association of Southeast Asian Nations, 2009)
ผู้เขียนเห็นว่าแผนงานสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการศึกษาของประเทศสมาชิกอย่างชัดเจน
โดยแต่ละประเทศจะต้องมีวางแผนและกำหนดทิศทางการศึกษาเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น
ได้แก่ แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
ทั้งนี้
แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้กำหนดให้เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีลักษณะการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน อีกทั้ง การเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง ตลอดจนมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกัน
และมีการบูรณาการอย่างสมบูรณ์กับเศรษฐกิจโลก
ส่วนแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนมีความมุ่งหมายต้องการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
(People-centered) และเป็นสังคมที่รับผิดชอบเพื่อก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย ด้วยการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา
และศาสนา โดยเสริมสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน
สร้างสังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน
และประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืน
อาเซียนมีนโนบายด้านการศึกษาอย่างไร
ในการดำเนินงานด้านการศึกษา
อาเซียนได้กำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างสังคมฐานความรู้
การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับได้รับการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา การส่งเสริมการดูแลเด็กปฐมวัยและการพัฒนาการเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียนสำหรับเยาวชน
ด้วยการจัดการศึกษาและกิจกรรมต่าง ๆ
เพื่อสร้างอัตลักษณ์อาเซียนบนพื้นฐานของมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างกัน
โดยอาเซียนได้กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ มีการดำเนินการด้านการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. การจัดการศึกษาเพื่อให้ทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาในระดับประถมศึกษาในอาเซียนภายในปี
2558 โดยมุ่งเน้นการขจัดการไม่รู้หนังสือ
และจัดการศึกษาภาคบังคับให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาสำหรับทุกคนอย่างเสมอภาค
ปราศจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม ภูมิศาสตร์ ชาติพันธุ์ และ/หรือความพิการทางกาย
ซึ่งตั้งเป้าหมายสูงสุดในอัตราร้อยละ 70 ภายในสิ้นปี 2554
2.
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการปรับตัวในด้านการศึกษา
รวมทั้งการศึกษาฝึกอบรมด้านทักษะ อาชีวศึกษา ด้านเทคนิคในภูมิภาค
ด้านพัฒนาโครงการความร่วมมือทางการศึกษา และพัฒนาเทคนิค เช่น
การฝึกอบรมครูและเจ้าหน้าที่ โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา
3. การส่งเสริมความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดยเฉพาะในสังคมที่ถูกละเลย ด้วยการศึกษาทางไกลและ
e-Learning
4. การส่งเสริมเครือข่ายทางการศึกษาในสถาบันการศึกษาหลาย
ๆ ระดับ และดำเนินการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัย การเสริมสร้างและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนักเรียนและเจ้าหน้าที่
5.
การปฏิสัมพันธ์ทางอาชีพในภูมิภาค
ซึ่งรวมถึงการสร้างกลุ่มวิจัยภายในสถาบันระดับอุดมศึกษา
ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน
6.
การส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษาสำหรับสตรีและเด็กหญิง
7.
การพัฒนาและเสนอหลักสูตรอาเซียนศึกษา ทั้งในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา
8.
การสนับสนุนพลเมืองของประเทศสมาชิกให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ
เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงและเข้าร่วมในประชาคมระหว่างประเทศได้กว้างขวางขึ้น
9.
การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การส่งเสริมการพัฒนาการดูแลเด็กปฐมวัยด้วยการแบ่งปันวิธีปฏิบัติอันดีเลิศ
ประสบการณ์ และการเสริมสร้างศักยภาพในด้านดังกล่าวระหว่างกัน
จากแนวการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
อาเซียนได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา โดยได้จัดทำแผนปฏิบัติการ 5 ปี ด้านการศึกษาของอาเซียน (พ.ศ.2554-2558) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียน ยุทธศาสตร์ที่
2 คุณภาพและโอกาสทางการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 3
การเคลื่อนย้ายข้ามแดนและการจัดการศึกษาให้มีความเป็นสากล และยุทธศาสตร์ที่ 4
การสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรรายสาขาอื่น ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษา (ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 1 ; The official website of the
Association of Southeast Asian Nations.
2009)
การศึกษามีบทบาทอย่างไรในการสร้างประชาคมอาเซียน
ในการพัฒนามนุษย์ตามแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนนั้น
ประชาคมอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา
โดยการเน้นการบูรณาการด้านการศึกษาให้เป็นวาระการพัฒนาของอาเซียน
สร้างสังคมความรู้ด้วยการส่งเสริมการศึกษาอย่างทั่วถึง
ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
และใช้กิจกรรมทางการศึกษาเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ทั้งนี้
ได้กำหนดให้มีการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานภายในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ. 2015) การศึกษาจึงมีบทบาทในการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี
พ.ศ. 2558
ใน 3 เสาหลัก สรุปได้ดังนี้
1.บทบาทของการศึกษาในเสาประชาคมการเมืองและความมั่นคง
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมการเมืองและความมั่นคง
โดยการสนับสนุนความเข้าใจและความตระหนักรับรู้เรื่องกฎบัตรอาเซียนให้มากขึ้นโดยผ่านหลักสูตรรายวิชาอาเซียน
และเผยแพร่กฎบัตรอาเซียนที่แปลเป็นภาษาต่างๆ
ของชาติในอาเซียนให้เน้นในหลักการแห่งประชาธิปไตย เคารพในสิทธิมนุษยชนและค่านิยมในแนวทางสันติภาพ อีกทั้ง สนับสนุน
ความเข้าใจและความตระหนักรับรู้ในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ประเพณีและความเชื่อในภูมิภาคผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การฝึกอบรม โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนและครูอาจารย์ การประชุมผู้นำโรงเรียนเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคอาเซียนที่หลากหลาย
การสร้างศักยภาพและเครือข่าย การจัดตั้งเวทีโรงเรียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia
School Principals’ Forum: SEA-SPF) เป็นต้น
2.
.บทบาทของการศึกษาในเสาประชาคมเศรษฐกิจ
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมเศรษฐกิจ
โดยการพัฒนากรอบทักษะภายในประเทศของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อนำไปสู่การจัดทำการยอมรับทักษะในอาเซียน อีกทั้งยังมีบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนของนักเรียน
นักศึกษา และการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีฝีมือในภูมิภาคโดยผ่านกลไกความร่วมมือในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยดำเนินควบคู่ไปกับการปกป้องและปรับปรุงมาตรฐานด้านการศึกษาและวิชาชีพ
ตลอดจนพัฒนามาตรฐานด้านอาชีพบนพื้นฐานของความสามารถในภูมิภาคอาเซียน
โดยมุ่งไปที่การสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
และเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
3. บทบาทของภาคการศึกษาในเสาประชาคมสังคมและวัฒนธรรม
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมสังคมและวัฒนธรรมในหลายด้าน ได้แก่
บทบาทในการพัฒนาเนื้อหาสาระร่วมเรื่องอาเซียน เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมและการสอนของครูอาจารย์ด้านศิลปวัฒนธรรมอาเซียน บทบาทในการสนับสนุนโครงการระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกแก่เยาวชน
เช่น การนำเที่ยวโรงเรียนอาเซียน โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาอาเซียน
การประชุมเยาวชนอาเซียนด้านวัฒนธรรม การประชุมสุดยอดเยาวชนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอาเซียน
การประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน ฯลฯ
การศึกษายังมีบทบาทในการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศสมาชิก
รวมทั้ง ยังมีบทบาทในการจัดให้มีการประชุมวิจัยทางด้านการศึกษาอาเซียนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาในภูมิภาคให้เป็นเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นที่เกี่ยวข้องของภูมิภาค ตลอดจนสนับสนุนความเข้าใจและการตระหนักรับรู้ในเรื่องราวต่างๆ
เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาค โดยการบูรณาการให้อยู่ในหลักสูตรในโรงเรียน (ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 3-4 ; สุรินทร์ พิศสุวรรณ, 2555)
นโยบายด้านการศึกษาของอาเซียนมีผลกระทบต่อนโยบายด้านการศึกษาของไทยอย่างไร
จากนโยบายด้านการศึกษาของอาเซียนที่กำหนดขึ้น
ได้ส่งผลให้ประเทศไทยต้องกำหนดนโยบายด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของอาเซียนเช่นกัน
โดยประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 เมื่อปี 2553
ได้มีการประกาศปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน
ที่เน้นความสำคัญของบทบาทการศึกษาในการสร้างประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก ต่อมาในปี 2554
รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการเตรียมความพร้อมเพื่อนำประเทศไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี
2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและวัฒนธรรม นอกจากนี้
ได้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน
โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ
สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและบริการ
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
พ.ศ. 2555 – 2559 ที่ได้กำหนดให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ในการสร้างความตระหนักในความสำคัญของประชาคมอาเซียน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
พัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้และใช้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
พัฒนาทักษะแรงงานให้มีความสามารถเป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงานอาเซียน
รวมทั้งการปรับกฎ ระเบียบ และการจัดการเชิงสถาบันให้สอดรับกับกติกาของอาเซียน
โดยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาเพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
ภายใต้ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน
ประกอบด้วยการพัฒนาเด็กในวัยเรียนและการเตรียมความพร้อมกำลังคนระดับกลาง ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ประกอบด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
และการปรับปรุงและเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีการพัฒนาภายในประเทศตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น
สำหรับกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำนโยบายด้านการศึกษา
5 ประการ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการศึกษา 5 ปี ของอาเซียน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานตามปฏิญญาอาเซียนด้านการศึกษา
ได้แก่
นโยบายที่
1 การเผยแพร่ความรู้
ข้อมูลข่าวสารและเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน
เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558
นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญการที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชนรวมทั้งการพิจารณาแผนผลิตกำลังคน
นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษา ครู และอาจารย์ในอาเซียน รวมทั้งเพื่อให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกของอาเซียน
นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน
นโยบายที่ 5 การพัฒนาเยาวชน เพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
นโยบายที่ 2 การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญการที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชนรวมทั้งการพิจารณาแผนผลิตกำลังคน
นโยบายที่ 3 การพัฒนามาตรฐานการศึกษา เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษา ครู และอาจารย์ในอาเซียน รวมทั้งเพื่อให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกของอาเซียน
นโยบายที่ 4 การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน
นโยบายที่ 5 การพัฒนาเยาวชน เพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
จากนโยบายการพัฒนาการศึกษาดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดภารกิจหลักที่จะต้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาให้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน
โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียนแก่เด็ก
เยาวชน บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอาเซียน การพัฒนาทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) การจัดทำหลักสูตรอาเซียนศึกษา
ทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา และการอาชีวศึกษา
ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา การพัฒนาทักษะวิชาชีพที่จำเป็นในตลาดแรงงานอาเซียนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือและการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การยกระดับคุณภาพสถานศึกษาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ
รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อรองรับการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันการศึกษาและการเคลื่อนย้ายนักเรียน
นักศึกษาในภูมิภาค และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
(สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,
2551 ; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา,
2555 :
6-8)
ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาคุณภาพการศึกษาอย่างไร
การศึกษาของไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของกระแส โลกาภิวัตน์ทั้งด้านสังคม
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและการสื่อสาร แม้ว่าองค์กร
หน่วยงานทางการศึกษาทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติจะได้ดำเนินการจัดการศึกษาภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ตลอดจนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
แต่โดยภาพรวมพบว่าคนไทยยังไม่สามารถรับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพ (วิทยากร เชียงกูล, 2553) ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยกรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับบที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2545-2559) โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
(2551 :
2-3) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานเมื่อปีการศึกษา
2548 ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
สังคมศึกษา คณิตศาสตร์
และวิทยาศาสตร์
ซึ่งเป็นวิชาหลักและเป็นกลไกเพิ่มความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าร้อยละ 50
ทุกวิชา โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ
คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ต่ำกว่าร้อยละ 35
และจากการประเมินคุณภาพการศึกษาของสำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
มีสถานศึกษาได้มาตรฐานเพียงร้อยละ 35 เท่านั้น
โดยด้านที่ไม่ได้มาตรฐานมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ 1) ด้านผู้เรียน จากผลการประเมินพบว่าผู้เรียนไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ
เกี่ยวกับความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
รักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทักษะการทำงาน รักการทำงาน
ตลอดจนการมีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น 2) ด้านผู้บริหาร จากผลการประเมินพบว่าผู้บริหารไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารวิชาการ
โดยเฉพาะการมีหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น
การมีสื่อการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน และ 3)
ด้านครู จากผลการประเมินพบว่าครูไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูในด้านการอาชีวศึกษามีจำนวนไม่เพียงพอ สถานศึกษาอาชีวศึกษายังไม่เป็นแหล่งวิชาการทางอาชีพแก่ชุมชนและสังคมเท่าที่ควร
รวมทั้งไม่สามารถจัดการศึกษารองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานเมื่อปีการศึกษา
2548 ที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้นเปรียบเทียบกับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน
(O-NET)
ในปีการศึกษา 2553 ทั้งระดับประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3
และมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่าผลสัมฤทธิ์ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ยังคงต่ำกว่าร้อยละ 50 ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษยังคงต่ำกว่าร้อยละ 35 ทั้งนี้
มีข้อสังเกตว่าผลการทดสอบในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 20 กล่าวคือ
คิดเป็นร้อยละ 14.99
และ 19.22 เท่านั้น (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2555)
สภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาโดยสุวรรณี คำมั่น (2551: 88-89)
ที่ได้ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา
และแนวโน้มบริบทการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกและสังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์
ด้านสังคม พบว่า จุดอ่อนของการศึกษาไทย มีดังนี้
1. คนไทยขาดทักษะด้านการคิด
วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ทำให้การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์มีน้อย
และมีข้อจำกัดด้านทักษะทางภาษาและทักษะด้าน ICT ทำให้การแสวงหาความรู้ อยู่ในวงแคบ
2. การศึกษามีคุณภาพด้อย
โดยเฉพาะการผลิตและพัฒนา เนื่องจากขาดแรงจูงใจให้คนดี คนเก่งเข้าสู่วิชาชีพครู การจัดกระบวนการเรียนการสอนไม่เกื้อหนุนการพัฒนาคุณภาพเด็ก
เน้นการเรียนแบบท่องจำ ความคิดสร้างสรรค์มีน้อย
การบูรณาการการเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างการคิดและพิจารณาปัญหาแบบองค์รวมยังเป็นจุดอ่อนสำคัญ
3.
การจัดการองค์ความรู้ในระดับชุมชนไม่เป็นระบบ ขาดการรวบรวมและนำไปใช้ประโยชน์
และการถ่ายทอดความรู้สู่บุคคลอื่นยังมีน้อย
เป็นสาเหตุให้การเรียนรู้ของคนในชุมชนอยู่ในวงจำกัด
4.
สถาบันหลักทางสังคมมีบทบาทน้อยในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
และพัฒนาศักยภาพคนไทย
ขณะเดียวกันวิถีชีวิตสมัยใหม่มีผลให้ความเชื่อศรัทธาในหลักศาสนาเสื่อมถอย
ส่วนสถาบันการศึกษาให้ความสำคัญกับใบรับรองการศึกษามากกว่าการนำความรู้ที่มาปฏิบัติจริง
5.
คนไทยยังขาดความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเอง
นำไปสู่การเจ็บป่วยและพัฒนาการทางด้านสมอง สติปัญญา และการเรียนรู้
6.
การเข้าถึงบริการทางการศึกษาของกลุ่มคนยากจนและผู้ด้วยโอกาสยังไม่ครอบคลุม
ทำให้คนยากจนจำนวนมากยังขาดโอกาสทางการศึกษา
นอกจากนี้ จากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก
รอบสอง (พ.ศ.2553) พบว่ายังมีสถานศึกษาจำนวนหนึ่งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา
อาชีวศึกษา และอุดมศึกษายังไม่ผ่านการรับรอง ส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ซึ่งผ่านการรับรองเพียง 79.68 ทั้งนี้
จากผลการประเมินในเบื้องต้นพบว่าสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่ผ่านการรับรองเนื่องจากมีปัญหาคุณภาพครู สำหรับระดับอาชีวศึกษาพบว่าคุณภาพของอาจารย์ยังต่ำ
โดยมีอาจารย์ที่มีวุฒิปริญญาตรี ร้อยละ 74.00 ที่เหลือต่ำกว่าปริญญาตรี
และบัณฑิตที่ผลิตออกไปนั้นยังไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานในสาขาที่ประเทศต้องการ
ส่วนปัญหาคุณภาพของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคุณวุฒิและคุณภาพของอาจารย์ กล่าวคือ จำนวนอาจารย์ที่จบปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยมีเพียงร้อยละ
20 (สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2555)
อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาการศึกษา (Office of the
Education Council, 2008) ได้สรุปผลการจัดการศึกษาของประเทศไทย
และได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.
2550 แต่ผลการประเมินดังกล่าวข้างต้นยังเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาไทยที่ยังอยู่ในขั้นวิกฤติและมีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพต่ำลง
โดยเฉพาะคุณภาพของผู้เรียนในรายวิชาหลักที่เป็นตัวชี้ถึงความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งพัฒนาคนเพื่อให้สามารถนำพาประเทศก้าวสู่ประคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ตามที่กำหนดในปี
พ.ศ.2558 ไปพร้อม ๆ กับการเร่งระดมสรรพกำลังในการทบทวน ปรับปรุง แก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาต่ำที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่อย่างเร่งด่วน
ไม่เช่นนั้น การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็จะไม่สร้างประโยชน์แก่ประเทศไทยเท่าที่ควรจะเป็น
ประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมด้านการศึกษาอย่างไรเพื่อการก้าวสู่อาเซียน
ในการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาเพื่อนำพาประเทศไปสู่การเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์นั้น ผู้เขียนเห็นว่าจำเป็นต้องมีการวางแผนดำเนินงานให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้การศึกษาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง สำหรับแนวคิดในการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น
พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ (2553 :
107-108) ได้ให้แนวคิดไว้สรุปได้ว่าในระดับชาติจะต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์องค์รวมในการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยให้มีการบูรณาการ
“การศึกษา” เข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ และรัฐบาลควรแสดงบทบาทนำในการนำเสนอวิสัยทัศน์การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนและหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ
รวมทั้งหลักสูตรการเตรียมครูก่อนประจำการและการพัฒนาครูประจำการ อีกทั้ง ได้เสนอแนวคิดให้ผู้นำรัฐบาลต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองในการจัดให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระเร่งด่วนของชาติและเล็งเห็นความสำคัญของการยกระดับจิตสำนึกของมหาชน
และการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการ นอกจากนี้ ประชาคมทุกระดับ
โดยเฉพาะระดับชาติต้องให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างองค์กรระดับชาติ
จากแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการใช้การศึกษาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้านต่าง
ๆ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับแนวทางการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนนั้น จะเห็นได้ว่าเท่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (ปี
พ.ศ.2555) รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามขับเคลื่อนการศึกษาให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
โดยที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการที่ได้กำหนดการเตรียมความพร้อมและแนวทางการดำเนินงานทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอาชีวศึกษา
การอุดมศึกษา และการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ได้แก่
การจัดให้มีหลักสูตรอาเซียนศึกษา การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรและนักเรียน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เชื่อมโยงภายในประชาคมอาเซียน การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของประชาคมอาเซียน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งเป้าหมายให้นักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ โดยการสร้างศูนย์อำนวยการเพื่อให้ครูเจ้าของภาษามาสอน พัฒนาการเรียนการสอนแบบ English for
Integrated Studies (EIS) ซึ่งเป็นการสอนที่มีการ บูรณาการการสอนภาษาอังกฤษในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
การพัฒนาห้องเรียนแห่งอนาคต (The
Global Class) ซึ่งเป็นห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย
และการอบรมภาษาอังกฤษให้กับครู นอกจากนี้
ยังมีหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้เตรียมความพร้อมแก่บุคลากรและประชาชนสู่ประชาคมอาเซียนด้วยเช่นกัน
ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม เป็นต้น (ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 4
; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา,
2555 :
8-9)
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าการดำเนินงานด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาครู
นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรให้มีความรู้เกี่ยวกับอาเซียน มีทักษะด้านภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น
กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการไปเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงไปยังครูและนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานในกิจกรรม/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินงานเฉพาะในโรงเรียนแกนนำหรือโรงเรียนนำร่องเพียงไม่กี่แห่งในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา
ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ในภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาเซียน
อีกทั้ง ยังไม่ทราบถึงผลกระทบของอาเซียนที่จะมีผลต่อภาคธุรกิจและการดำรงชีวิตของตนเองและของคนไทยในอนาคต
นอกจากนี้ แผนการดำเนินงานในบางประการยังอยู่ในระดับการกำหนดแผนดำเนินงานที่ยังไม่นำไปสู่การปฏิบัติ
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าการดำเนินงานเพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนไทยให้มีความรู้ความสามารถ
และคุณลักษณะตามที่อาเซียนกำหนดอย่างแท้จริงนั้น
กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำหนดแผนการพัฒนาครู นักเรียน
นักศึกษา และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตลอดถึงประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง มีคุณภาพ
และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้จริงโดยเร็ว ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยที่อยู่ในขั้นวิกฤติที่เป็นมาตั้งแต่อดีตและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลจะต้องยอมลงทุนทางการศึกษาที่ถือว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน
เพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ
และด้านสังคมวัฒนธรรมตามหลักการของประชาคมอาเซียนต่อไป
ประเทศไทยต้องปรับตัวด้านหลักสูตรและการสอนอย่างไร
จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาวัตถุประสงค์ที่กำหนดในหลักการและข้อตกลงที่ปรากฏในลักษณะต่าง
ๆ ของอาเซียน รวมทั้งบทบาทของการศึกษาในการสร้างประชาคมอาเซียน
นโยบายด้านศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการดังที่ได้กล่าวสรุปมาแล้วในตอนต้น
อีกทั้ง การเข้าร่วมรับฟังข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มุมมองของนักการศึกษา ตลอดจนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาเซียนทั้งจากเวทีการประชุมและจากเว็ปไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ ผู้เขียนได้นำมาประมวลเพื่อนำมาเป็นฐานความคิดในการวิเคราะห์แนวโน้มด้านหลักสูตรและ การสอนของประเทศไทยที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากหลักการและข้อตกลงของอาเซียน
โดยผู้เขียนเห็นว่าในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้นประเทศไทยต้องปรับตัวด้านหลักสูตรและการสอนในประเด็นดังต่อไปนี้ (สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2552 ; สุรินทร์ พิศสุวรรณ, 2555; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา,
2555 : 6-8 ; ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 1-4 ; ณรงค์ พุทธิชีวิน,
2555 ; จุไรศิริ ชูรักษ์, 2555 : 191-203 ; Virginia A.
Miralao and Lucille C. Gregorio, n.d. ; The
official website of the Association of Southeast Asian Nations,
2009)
1. ในระดับประเทศจะมีการกำหนดนโยบายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการศึกษาได้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
โดยการจัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพให้สามารถรองรับการเปิดเสรีด้านแรงงาน
ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาจะมีการดำเนินการโดยใช้มาตรฐานคุณวุฒิระดับสากลมาเป็นกรอบทิศทางในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
ซึ่งหลักสูตรที่ปรับปรุงและพัฒนาขึ้นจะเป็นหลักสูตรที่มีชาวต่างชาติมาเข้าเรียน จึงส่งผลให้แต่ละประเทศจะจัดทำเว็ปไซต์ของประเทศตนเองเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้ง แต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับปฏิทินการศึกษาของประเทศตนเองให้สอดคล้องกันกับประเทศสมาชิก
เพื่อให้มีการรับรองคุณวุฒิการศึกษาระหว่างกันได้ นอกจากนี้ การประเมินคุณภาพการศึกษา หลักสูตร
และการสอนจะใช้ระบบมาตรฐานสากล โดยการประเมินการศึกษาของประเทศไทยจะไม่เป็นการประเมินเพียงในระดับของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
(สมศ.)
2. หน่วยงานทางการศึกษาจะมีการเพิ่มหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา
โดยอาจจัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมจากสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม
หรือเป็นรายวิชาในหมวดศึกษาทั่วไปในระดับอุดมศึกษา
หรือเป็นการบูรณาการเนื้อหาเข้ากับวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเดิม เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้จักประเทศอาเซียนในทุกมิติ ทั้งนี้
จะมีการให้ความสำคัญมากขึ้นกับการจัดหลักสูตรอาเซียนให้เหมาะสมกับการศึกษาในแต่ละระดับชั้น
โดยคำนึงถึงการจัดวางหลักสูตร รายวิชา และเนื้อหาอย่างเป็นระบบ และมีความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในอนาคตอาจมีหลักสูตรแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Core Curriculum) กล่าวคือ อาจมีการจัดทำเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางของอาเซียนร่วมกัน เพื่อให้แต่ละประเทศได้นำเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางเหล่านั้นไปใช้ในการเรียนการสอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอาเซียน
โดยยังเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้ใช้เนื้อหาสาระที่สอดคล้องกับสภาพความต้องการ
อัตลักษณ์ และคุณลักษณะเฉพาะของประเทศของตนเป็นหลัก
3.
กระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรจะมุ่งเน้นเพื่อให้ได้ผู้เรียนที่มีคุณภาพ โดยให้มีทั้งด้านความรู้ คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ
ที่สนองตอบต่อความต้องการของความเป็นอาเซียน ดังนั้น การเรียนการสอนที่กำหนดให้มีการบูรณาการเนื้อหาอาเซียนสู่การเรียนการสอนจะไม่เพียงแต่บูรณาการเพียงเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้
และเจตคติที่ดีต่อการอยู่ร่วมกันในอาเซียนเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญกับการบูรณาการทักษะต่าง ๆ
ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะทักษะ 5C ที่จะบูรณาการสู่การเรียนการสอนในทุกรายวิชา
ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative problem solving
skills) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
(Critical thinking skills) ทักษะการร่วมมือ (Collaborative skills) ทักษะการสื่อสาร (Communicative
skills) และทักษะคอมพิวเตอร์
(Computing skills)
4.
หน่วยงานที่จัดการศึกษาจะมุ่งพัฒนาหลักสูตรที่เน้นอาชีพและผลิตบัณฑิตใน 7 สาขา ในปริมาณที่มากขึ้น
ได้แก่ วิศวกรรม การสำรวจ สถาปัตยกรรม แพทย์
ทันตแพทย์ พยาบาล และบัญชี เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการจัดทำข้อตกลงที่เรียกว่า
Mutual
Recognition Agreement (MRA) เพื่ออำนวยความสะดวกในการยอมรับคุณสมบัติของนักวิชาชีพที่สำคัญร่วมกัน
ส่งผลให้มีการถ่ายเทแรงงานฝีมือได้เสรีมากขึ้น
ทั้งนี้ อาชีพเหล่านี้จะได้รับการยกเว้น
ไม่มีการกีดกัน สามารถเดินทางไปประกอบอาชีพในประเทศอาเซียนอื่น ๆ ได้อย่างเสรี นอกจากนี้ จะมีการผลิตบัณฑิตในสาขาพยาบาลผู้ใหญ่มากขึ้น
เนื่องจากสังคมไทยในอนาคตจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ
(Aging Society)
5. สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาคธุรกิจและเอกชนจะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด
และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะแรงงานที่มีฝีมือ
และเป็นแรงงานที่มีมาตรฐาน โดยจะให้ความสำคัญกับการฝึกงานในรูปแบบต่างๆ และถือว่าการฝึกงานเป็นกระบวนการสำคัญที่สะท้อนถึงมาตรฐานของทักษะแรงงานในภาคปฏิบัติ
6. ในระดับอาชีวศึกษา
ประเทศสมาชิกจะร่วมกันกำหนดแนวทางให้มีการส่งเสริมให้เยาวชนในระดับอาชีวศึกษาได้รับทุนแลกเปลี่ยนจากประเทศสมาชิกเดินทางไปทำงานช่วงสั้นๆ
ในระหว่างปิดภาคการศึกษาหรือกำหนดเป็นชั่วโมงฝึกงานในหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรการบริการ
ช่างฝีมือ และการท่องเที่ยว ฯลฯ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนในสายอาชีพมีประสบการณ์ตรงในการทำงานในประเทศสมาชิก
อีกทั้ง จะมีการแลกเปลี่ยนบุคลากร
และนักศึกษาอย่างกว้างขวาง
7. รูปแบบของหลักสูตรและการเรียนการสอนจะมีรูปแบบที่หลากหลายและมีทางเลือกแก่ผู้เรียนมากขึ้น
ได้แก่ การเรียนทางไกล
การเรียนในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ตลอดจนการเรียนตามความสนใจในหลักสูตรระยะสั้นต่าง
ๆ นอกจากนี้
แต่ละประเทศจะพัฒนาหลักสูตรที่เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ
และหลักสูตรนานาชาติมากขึ้น โดยหลักสูตรและการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษจะมีเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาในระดับต่าง
ๆ และหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ที่เป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนไทยสามารถสื่อสารกับประชาชนทุกประเทศในอาเซียนอย่างน้อยที่สุดเป็นภาษาอังกฤษ
อีกทั้ง จะมีการให้เรียนรู้เพิ่มเติมภาษาอาเซียนอื่นอีกหนึ่งภาษาเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้
จะมีการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเรียนการสอนสำหรับผู้สอนทุกระดับอีกด้วย
8.
นโยบายระดับชาติจะให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการเรียนการสอนที่ยกระดับคุณภาพการศึกษาในรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
เนื่องจากเป็นรายวิชาที่พัฒนาคนให้มีความสามารถในการแข่งขันในเวทีนานาชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากผลการประเมินในระดับต่าง ๆ ที่พบว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอยู่ในขั้นวิกฤติ
ดังนั้น ในระดับนโยบายจะมีการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพในรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และภาษาอังกฤษ ส่วนในระดับปฏิบัติ
ครูผู้สอนในรายวิชาดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาให้สามารถจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น ซึ่งจากแนวทางการแก้ปัญหาทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติก็จะส่งผลให้มีการทบทวนหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
ใน 3 รายวิชาดังกล่าว
9. องค์กรภาคเอกชนและภาคธุรกิจจะเข้ามาลงทุนทางการศึกษา
โดยการเปิดหลักสูตร ตามที่ตนเองต้องการ ที่ผ่านมาได้มีองค์กรสื่อสารมวลชน องค์กรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ตลอดจนองค์กรธุรกิจด้านร้านอาหารได้เปิดสถาบันการศึกษาหรือสถาบันการสอนเพื่อผลิตและพัฒนาคนเข้าสู่วงการอาชีพที่ตนเองต้องการอย่างครบวงจร
สรุป
การที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลาย
ๆ ด้าน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยต้องปรับตัวในด้านต่าง
ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลก โดยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สำหรับผลกระทบด้านการศึกษาของประเทศไทยนั้น
ได้ส่งผลให้มีการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางการดำเนินงาน
และแผนการเตรียมความพร้อมในหน่วยงานระดับต่าง ๆ
เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ กล่าวคือ คุณลักษณะของกำลังคนของอาเซียนที่สำคัญ
ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคิด ทักษะการร่วมมือ
ทักษะการสื่อสาร และทักษะคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
ทั้งนี้
การศึกษาจะเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนา โดยหลักสูตรและการสอนถือเป็นเครื่องมือสำคัญของตัวจักรในการจัดการศึกษาดังกล่าว
จากผลกระทบของประชาคมอาเซียนต่อการศึกษา
จึงย่อมส่งผลให้หลักสูตรและการสอนของประเทศไทยได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน โดยหลักสูตรและการสอนต้องมีการเปรับปรุงและพัฒนาไปในทิศทางเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ
คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษา หลักสูตร
และการสอนของไทยเท่าที่ผ่านมายังมีปัญหาและอุปสรรคเป็นผลให้คุณภาพการศึกษาของไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ
กล่าวคือ การบริหารวิชาการ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และคุณภาพของผู้เรียนในระดับต่าง
ๆ ยังไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ คุณลักษณะของคนไทยและการบริหารจัดการทางการศึกษาในหลาย
ๆ ด้านยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ดังนั้น นับจากนี้เป็นต้นไปจนถึงปี
พ.ศ. 2558 ประเทศไทยจึงมีแนวโน้มที่จะมีรูปแบบหลักสูตรและการสอนใหม่
ๆ และหลากหลายเกิดขึ้น นำไปสู่การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหาวิกฤติคุณภาพการศึกษาที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ก็ถือเป็นปัญหาสำคัญที่รอการแก้อย่างเร่งด่วน
หากคุณภาพการศึกษาไทยยังคงต่ำกว่ามาตรฐานอย่างที่เป็นอยู่
การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็ดูจะไม่สร้างประโยชน์แก่ประเทศไทยเท่าที่ควร แต่กลับจะเป็นข้อเสียเปรียบในเวทีการแข่งขัน
โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่มีลักษณะการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน
และมีการบูรณาการอย่างสมบูรณ์กับเศรษฐกิจโลก
เอกสารอ้างอิง
กรมประชาสัมพันธ์.
(2555). ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคืออะไร มีเป้าหมายอย่างไร
และไทยได้ประโยชน์อย่างไร. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2555. จาก http://hq.prd.go.th/prTechnicalDM/ewt_news.php?nid=510.
จุไรศิริ ชูรักษ์. (2555). “ผลกระทบ
ความพร้อม และการปรับตัวด้านการศึกษาของไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” อาเซียนศึกษา (ASIAN STUDIES). สงขลา : มหาวิทยาลัย ราชภัฏสงขลา.
ณรงค์ พุทธิชีวิน. (2555). เอกสารการประชุมปฏิบัติการ เรื่อง “บทบาทการเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อก้าวสู่สังคมอาเซียน”
วันที่ 6
มิถุนายน พ.ศ. 2555 ณ
ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา,
มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จังหวัดสงขลา.
พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์. (2553).
การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน : พื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐกิจ
สังคมและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์.
วิทยากร เชียงกูล.
(2553). สภาวะการศึกษาไทย ปี
2551/2552
บทบาทการศึกษาไทยกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด
วี.ที.ซี. คอมมิวนิเคชั่น.
ศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล. (2555).
ทิศทางและนโยบายการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน. เอกสารประกอบการบรรยายในการประชุมเรื่อง “มุ่งหน้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน” เมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว อำเภอเกาะสมุย
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ.
(2555). ประกาศผลสอบ
O-NET ป.6 ม.3
และ ม.6.
สืบค้นเมื่อ 15 มีนาคม
2555. จาก http://www.niets.or.th.
สุรินทร์ พิศสุวรรณ. (2555). การบรรยายพิเศษ เรื่อง
“ทิศทางการศึกษาไทยในประเทศประชาคมอาเซียน” วันที่
28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ณ โรงเรียนมาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา.
สุวรรณี คำมั่น. (2551). รายงานการศึกษาสภาพปัจจุบัน
ปัญหา และแนวโน้มบริบทการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกและสังคมไทย ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์
ด้านสังคม. กรุงเทพฯ :
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2552). การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากลยุทธ์ความร่วมมือด้านการศึกษากับประเทศเพื่อนบ้าน. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2555). เกี่ยวกับอาเซียน. สืบค้นเมื่อ 1
พฤษภาคม 2555. จากhttp://www.bic.moe.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=192&Itemid=148.
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. (2555). (ร่าง)
รายงานผลการพิจารณาและติดตามความพร้อมด้านการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน (26 พฤษภาคม
2554 – 2 เมษายน 2555).
เอกสารประกอบการบรรยายในการประชุมเรื่อง “มุ่งหน้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน” เมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ณ วิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว อำเภอเกาะสมุย
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2551).
กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545 –
2559). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา.
(2555). การประเมินคุณภาพภายนอก.
สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม
2555. จาก http://www.onesqa.or.th.
Office of The
Education Council. (2007). Education in
Thailand 2007. Bangkok: Office of
The Education Council.
The official website of the
Association of Southeast Asian Nations. (2009). About Asian (online). Available: http://www.aseansec.org/. May 1, 2012.
Virginia A.
Miralao and Lucille C. Gregorio. (n.d.). “Synthesis of country reports and general
trends and needs” Curriculum Changes Reforms in East and South-East Asia
(Online). Available: http://www.ibe.unesco.org/curriculum/Asia%20Networkpdf/bkrep3.pdf . May 1, 2012.