วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ผลกระทบด้านการศึกษา หลักสูตรและการสอนของไทยจากการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน

ผลกระทบด้านการศึกษา หลักสูตรและการสอนของไทย
จากการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน
ดร.จุไรศิริ  ชูรักษ์*
..............................................................................................................................................
บทนำ
            ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) เป็นปีที่ประชาคมอาเซียนมีผลอย่างสมบูรณ์ตามข้อตกลงที่ประเทศสมาชิกได้ลงนามร่วมกันในกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ส่งผลให้ประเทศสมาชิกประชาคมจำนวน 10 ประเทศต้องดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้  ซึ่งประกอบด้วย 3 เสาหลัก (pillars) ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community-APSC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) และประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio – Cultural Community-ASCC) จากกฎบัตรอาเซียนดังกล่าว ได้นำไปสู่การกำหนดแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนครอบคลุมทั้ง 3 เสาหลัก  สำหรับแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน (A Blueprint for ASEAN Socio-Cultural Community) ได้กำหนดให้การศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน  โดยถือว่าการพัฒนามนุษย์เป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกในการเสริมสร้างวิถีชีวิตที่ดีของประชากรในภูมิภาค จึงกำหนดให้มีการดำเนินงานด้านการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาค   ดังนั้น การศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประชากรในประชาคมให้มีคุณภาพที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง  ด้านเศรษฐกิจ  ด้านสังคมและวัฒนธรรม
            การศึกษาไทยจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายการสร้างประชาคมอาเซียน ดังนั้น ภายในปี พ.ศ. 2558  ประเทศไทยจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมและปรับตัวด้านการศึกษา ตลอดจนหลักสูตร และการสอนให้มีความพร้อมที่จะพัฒนาเด็ก เยาวชน และประชาชนคนไทยให้มีความรู้ความสามารถ คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายในวิถีทางที่สอดรับกับข้อตกลงที่กำหนดในกฎบัตรอาเซียน  อย่างไรก็ตาม หลังปี พ.ศ. 2558 ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีความเป็นนานาชาติในวงกว้างมากขึ้น  ดังนั้น จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าในด้านการศึกษา ตลอดจนหลักสูตรและการสอนที่ต้องมีความทันสมัย รองรับกับความเปลี่ยนแปลง และให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน และคุณลักษณะต่าง ๆ เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒธรรมในสังคมอาเซียนต่อไป

อาเซียน (ASEAN) คืออะไร และมีเป้าหมายอย่างไร
อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations - ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยสมาชิกผู้ก่อตั้งมี 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม  ลาว พม่า และกัมพูชา ตามลำดับ จากการรับกัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก ทำให้อาเซียนมีสมาชิกครบ 10 ประเทศ  วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งอาเซียน ได้แก่ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และการบริหาร ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ โดยมีกฎบัตรอาเซียนที่เปรียบเสมือนเป็นธรรมนูญของอาเซียนที่จะทำให้อาเซียนมีสถานะเป็นนิติบุคคล  เป็นการวางกรอบกฎหมายตลอดจนโครงสร้างองค์กรให้กับอาเซียน  โดยนอกจากการประมวลสิ่งที่ถือเป็นค่านิยม หลักการ และแนวปฏิบัติในอดีตของอาเซียนมาประกอบกันเป็นข้อปฏิบัติอย่างเป็นทางการสำหรับประเทศสมาชิกแล้ว  ยังมีการปรับปรุงแก้ไขและสร้างกลไกใหม่ขึ้นพร้อมกับกำหนดขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรสำคัญในอาเซียน  ตลอดจนความสัมพันธ์ในการดำเนินงานขององค์กรเหล่านี้  เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน  โดยมีเป้าหมายให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในการดำเนินการของประเทศสมาชิกเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดในหลักการพื้นฐานที่ปรากฏในลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ ปฏิญญา ความตกลง อนุสัญญา ข้อตกลง สนธิสัญญา และตราสารของอาเซียนนั้น  ประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามหลักการที่กำหนด ได้แก่ 1) การเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน และอัตลักษณ์แห่งชาติของประเทศสมาชิก 2) ความผูกพันและความรับผิดชอบร่วมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ ความมั่นคงและความั่งคั้งของภูมิภาค 3) การไม่ใช้ความรุนแรงและการข่มขู่ หรือการกระทำอื่นใดที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ 4) การอาศัยการระงับข้อพิพาทโดยสันติ  5) การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก  6) การเคารพสิทธิของประเทศสมาชิก  7) การปรึกษาหารือในเรื่องที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ร่วมกัน  8) การยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ  9) การเคารพเสรีภาพพื้นฐาน การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมทางสังคม 10) การยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ  11) การละเว้นการมีส่วนร่วมในนโยบายหรือการใช้ดินแดนของตนที่เป็นการคุกคามประเทศสมาชิก  12) การเคารพในวัฒนธรรม ภาษาและศาสนาที่แตกต่าง โดยเน้นคุณค่าร่วมกันของประชาชนอาเซียนด้วยจิตวิญญาณของเอกภาพในความหลากหลาย  13) ความเป็นศูนย์รวมของอาเซียนในด้านต่าง ๆ โดยการมีส่วนร่วม และไม่ปิดกั้น และ 14) การยึดมั่นในกฎการค้าพหุภาคีและระบอบของอาเซียนที่มีระบบเศรษฐกิจซึ่งขับเคลื่อนโดยตลาด  (กรมประชาสัมพันธ์, 2555 ;  สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2555; The official website of the Association of Southeast Asian Nations, 2009)  
ผู้เขียนเห็นว่าแผนงานสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการศึกษาของประเทศสมาชิกอย่างชัดเจน โดยแต่ละประเทศจะต้องมีวางแผนและกำหนดทิศทางการศึกษาเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ได้แก่ แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ทั้งนี้ แผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้กำหนดให้เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีลักษณะการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน  อีกทั้ง การเป็นภูมิภาคที่มีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจสูง  ตลอดจนมีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกัน และมีการบูรณาการอย่างสมบูรณ์กับเศรษฐกิจโลก  ส่วนแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนมีความมุ่งหมายต้องการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People-centered) และเป็นสังคมที่รับผิดชอบเพื่อก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย  ด้วยการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา  โดยเสริมสร้างอัตลักษณ์ร่วมกัน สร้างสังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน และประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืน

อาเซียนมีนโนบายด้านการศึกษาอย่างไร
          ในการดำเนินงานด้านการศึกษา อาเซียนได้กำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์โดยให้ความสำคัญต่อการสร้างสังคมฐานความรู้ การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับได้รับการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา การส่งเสริมการดูแลเด็กปฐมวัยและการพัฒนาการเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียนสำหรับเยาวชน ด้วยการจัดการศึกษาและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างอัตลักษณ์อาเซียนบนพื้นฐานของมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างกัน โดยอาเซียนได้กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ มีการดำเนินการด้านการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. การจัดการศึกษาเพื่อให้ทุกคนได้รับโอกาสทางการศึกษาในระดับประถมศึกษาในอาเซียนภายในปี 2558 โดยมุ่งเน้นการขจัดการไม่รู้หนังสือ และจัดการศึกษาภาคบังคับให้แก่นักเรียนระดับประถมศึกษาสำหรับทุกคนอย่างเสมอภาค ปราศจากความเหลื่อมล้ำทางสังคม ภูมิศาสตร์ ชาติพันธุ์ และ/หรือความพิการทางกาย ซึ่งตั้งเป้าหมายสูงสุดในอัตราร้อยละ 70 ภายในสิ้นปี 2554
2. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการปรับตัวในด้านการศึกษา รวมทั้งการศึกษาฝึกอบรมด้านทักษะ อาชีวศึกษา ด้านเทคนิคในภูมิภาค ด้านพัฒนาโครงการความร่วมมือทางการศึกษา และพัฒนาเทคนิค เช่น การฝึกอบรมครูและเจ้าหน้าที่ โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา  
3. การส่งเสริมความร่วมมือด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในสังคมที่ถูกละเลย  ด้วยการศึกษาทางไกลและ e-Learning
4. การส่งเสริมเครือข่ายทางการศึกษาในสถาบันการศึกษาหลาย ๆ ระดับ และดำเนินการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัย การเสริมสร้างและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนักเรียนและเจ้าหน้าที่
5. การปฏิสัมพันธ์ทางอาชีพในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงการสร้างกลุ่มวิจัยภายในสถาบันระดับอุดมศึกษา ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน
6. การส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษาสำหรับสตรีและเด็กหญิง
7. การพัฒนาและเสนอหลักสูตรอาเซียนศึกษา ทั้งในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา
8. การสนับสนุนพลเมืองของประเทศสมาชิกให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงและเข้าร่วมในประชาคมระหว่างประเทศได้กว้างขวางขึ้น
            9. การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การส่งเสริมการพัฒนาการดูแลเด็กปฐมวัยด้วยการแบ่งปันวิธีปฏิบัติอันดีเลิศ ประสบการณ์ และการเสริมสร้างศักยภาพในด้านดังกล่าวระหว่างกัน
          จากแนวการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น อาเซียนได้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา โดยได้จัดทำแผนปฏิบัติการ 5 ปี  ด้านการศึกษาของอาเซียน (พ.ศ.2554-2558)  มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่  ยุทธศาสตร์ที่ 1  การเสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียน ยุทธศาสตร์ที่ 2 คุณภาพและโอกาสทางการศึกษา ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเคลื่อนย้ายข้ามแดนและการจัดการศึกษาให้มีความเป็นสากล และยุทธศาสตร์ที่ 4 การสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรรายสาขาอื่น ๆ เพื่อพัฒนาการศึกษา (ศรีวิการ์  เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 1 ; The official website of the Association of Southeast Asian Nations.  2009)

การศึกษามีบทบาทอย่างไรในการสร้างประชาคมอาเซียน
ในการพัฒนามนุษย์ตามแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนนั้น ประชาคมอาเซียนได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยการเน้นการบูรณาการด้านการศึกษาให้เป็นวาระการพัฒนาของอาเซียน สร้างสังคมความรู้ด้วยการส่งเสริมการศึกษาอย่างทั่วถึง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และใช้กิจกรรมทางการศึกษาเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ทั้งนี้ ได้กำหนดให้มีการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานภายในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ. 2015)  การศึกษาจึงมีบทบาทในการสร้างประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ. 2558 ใน 3 เสาหลัก สรุปได้ดังนี้                   

1.บทบาทของการศึกษาในเสาประชาคมการเมืองและความมั่นคง
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมการเมืองและความมั่นคง โดยการสนับสนุนความเข้าใจและความตระหนักรับรู้เรื่องกฎบัตรอาเซียนให้มากขึ้นโดยผ่านหลักสูตรรายวิชาอาเซียน  และเผยแพร่กฎบัตรอาเซียนที่แปลเป็นภาษาต่างๆ ของชาติในอาเซียนให้เน้นในหลักการแห่งประชาธิปไตย เคารพในสิทธิมนุษยชนและค่านิยมในแนวทางสันติภาพ  อีกทั้ง สนับสนุน ความเข้าใจและความตระหนักรับรู้ในความหลากหลายทางวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อในภูมิภาคผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การฝึกอบรม  โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนและครูอาจารย์  การประชุมผู้นำโรงเรียนเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาคอาเซียนที่หลากหลาย การสร้างศักยภาพและเครือข่าย การจัดตั้งเวทีโรงเรียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia School Principals’ Forum: SEA-SPF) เป็นต้น

2. .บทบาทของการศึกษาในเสาประชาคมเศรษฐกิจ
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมเศรษฐกิจ โดยการพัฒนากรอบทักษะภายในประเทศของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อนำไปสู่การจัดทำการยอมรับทักษะในอาเซียน  อีกทั้งยังมีบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนของนักเรียน นักศึกษา และการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีฝีมือในภูมิภาคโดยผ่านกลไกความร่วมมือในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน  โดยดำเนินควบคู่ไปกับการปกป้องและปรับปรุงมาตรฐานด้านการศึกษาและวิชาชีพ  ตลอดจนพัฒนามาตรฐานด้านอาชีพบนพื้นฐานของความสามารถในภูมิภาคอาเซียน โดยมุ่งไปที่การสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก และเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม

3. บทบาทของภาคการศึกษาในเสาประชาคมสังคมและวัฒนธรรม
การศึกษาได้มีบทบาทในเสาประชาคมสังคมและวัฒนธรรมในหลายด้าน  ได้แก่  บทบาทในการพัฒนาเนื้อหาสาระร่วมเรื่องอาเซียน เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมและการสอนของครูอาจารย์ด้านศิลปวัฒนธรรมอาเซียน  บทบาทในการสนับสนุนโครงการระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกแก่เยาวชน เช่น การนำเที่ยวโรงเรียนอาเซียน  โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาอาเซียน การประชุมเยาวชนอาเซียนด้านวัฒนธรรม การประชุมสุดยอดเยาวชนนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอาเซียน การประชุมเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน ฯลฯ   การศึกษายังมีบทบาทในการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศสมาชิก  รวมทั้ง ยังมีบทบาทในการจัดให้มีการประชุมวิจัยทางด้านการศึกษาอาเซียนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและพัฒนาในภูมิภาคให้เป็นเวทีเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นที่เกี่ยวข้องของภูมิภาค  ตลอดจนสนับสนุนความเข้าใจและการตระหนักรับรู้ในเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาค โดยการบูรณาการให้อยู่ในหลักสูตรในโรงเรียน (ศรีวิการ์  เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 3-4 ;  สุรินทร์  พิศสุวรรณ, 2555)

นโยบายด้านการศึกษาของอาเซียนมีผลกระทบต่อนโยบายด้านการศึกษาของไทยอย่างไร
            จากนโยบายด้านการศึกษาของอาเซียนที่กำหนดขึ้น ได้ส่งผลให้ประเทศไทยต้องกำหนดนโยบายด้านการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายของอาเซียนเช่นกัน  โดยประเทศไทยได้มีการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 เมื่อปี 2553 ได้มีการประกาศปฏิญญาชะอำ-หัวหิน ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ที่เน้นความสำคัญของบทบาทการศึกษาในการสร้างประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก  ต่อมาในปี 2554 รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการเตรียมความพร้อมเพื่อนำประเทศไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 อย่างสมบูรณ์  โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านการเมืองและความมั่นคง  ด้านเศรษฐกิจ  ด้านสังคมและวัฒนธรรม  นอกจากนี้ ได้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน โดยร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาในการวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ สอดคล้องกับความต้องการของภาคการผลิตและบริการ  
            ทั้งนี้ ประเทศไทยได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2555 – 2559 ที่ได้กำหนดให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในการสร้างความตระหนักในความสำคัญของประชาคมอาเซียน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น พัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้และใช้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน พัฒนาทักษะแรงงานให้มีความสามารถเป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงานอาเซียน รวมทั้งการปรับกฎ ระเบียบ และการจัดการเชิงสถาบันให้สอดรับกับกติกาของอาเซียน โดยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาเพื่อรองรับการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ภายใต้ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยการพัฒนาเด็กในวัยเรียนและการเตรียมความพร้อมกำลังคนระดับกลาง ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และการปรับปรุงและเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีการพัฒนาภายในประเทศตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น
            สำหรับกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำนโยบายด้านการศึกษา 5 ประการ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการด้านการศึกษา 5 ปี ของอาเซียน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานตามปฏิญญาอาเซียนด้านการศึกษา ได้แก่
                   นโยบายที่ 1 การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารและเจตคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียน เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558
                   นโยบายที่ 2  การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนให้มีทักษะที่เหมาะสม เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน เช่น ความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญการที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชนรวมทั้งการพิจารณาแผนผลิตกำลังคน
                   นโยบายที่ 3  การพัฒนามาตรฐานการศึกษา เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษา ครู และอาจารย์ในอาเซียน รวมทั้งเพื่อให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกของอาเซียน
                   นโยบายที่ 4  การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีการศึกษาในอาเซียน เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับร่วมด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่าง ๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน
                   นโยบายที่ 5  การพัฒนาเยาวชน เพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
            จากนโยบายการพัฒนาการศึกษาดังกล่าว กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดภารกิจหลักที่จะต้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการศึกษาให้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอาเซียน โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่  การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับอาเซียนแก่เด็ก เยาวชน บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนทั่วไป  การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอาเซียน   การพัฒนาทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT)  การจัดทำหลักสูตรอาเซียนศึกษา ทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การอุดมศึกษา และการอาชีวศึกษา ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา การพัฒนาทักษะวิชาชีพที่จำเป็นในตลาดแรงงานอาเซียนเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือและการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน  การยกระดับคุณภาพสถานศึกษาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อรองรับการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันการศึกษาและการเคลื่อนย้ายนักเรียน นักศึกษาในภูมิภาค  และการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2551 ; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2555 : 6-8)


ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาคุณภาพการศึกษาอย่างไร
        การศึกษาของไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของกระแส                  โลกาภิวัตน์ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร  แม้ว่าองค์กร หน่วยงานทางการศึกษาทั้งระดับนโยบายและระดับปฏิบัติจะได้ดำเนินการจัดการศึกษาภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ  ตลอดจนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  แต่โดยภาพรวมพบว่าคนไทยยังไม่สามารถรับการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพ  (วิทยากร             เชียงกูล, 2553)  ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยกรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับบที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ.2545-2559) โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551 : 2-3) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานเมื่อปีการศึกษา 2548 ทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในวิชาภาษาไทย  ภาษาอังกฤษ  สังคมศึกษา  คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาหลักและเป็นกลไกเพิ่มความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าร้อยละ 50 ทุกวิชา  โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ต่ำกว่าร้อยละ 35 และจากการประเมินคุณภาพการศึกษาของสำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา มีสถานศึกษาได้มาตรฐานเพียงร้อยละ 35 เท่านั้น  โดยด้านที่ไม่ได้มาตรฐานมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ 1) ด้านผู้เรียน  จากผลการประเมินพบว่าผู้เรียนไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ เกี่ยวกับความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทักษะการทำงาน รักการทำงาน ตลอดจนการมีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น 2) ด้านผู้บริหาร  จากผลการประเมินพบว่าผู้บริหารไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับการบริหารวิชาการ โดยเฉพาะการมีหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น  การมีสื่อการเรียนการสอนที่เอื้อต่อการเรียนรู้  และการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน และ 3) ด้านครู  จากผลการประเมินพบว่าครูไม่ได้มาตรฐานเกี่ยวกับความสามารถในการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ครูในด้านการอาชีวศึกษามีจำนวนไม่เพียงพอ  สถานศึกษาอาชีวศึกษายังไม่เป็นแหล่งวิชาการทางอาชีพแก่ชุมชนและสังคมเท่าที่ควร  รวมทั้งไม่สามารถจัดการศึกษารองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ 
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานเมื่อปีการศึกษา 2548 ที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้นเปรียบเทียบกับผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ในปีการศึกษา 2553 ทั้งระดับประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่าผลสัมฤทธิ์ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย  คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  สังคมศึกษา และภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)  ยังคงต่ำกว่าร้อยละ 50 ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้  โดยเฉพาะคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  และภาษาอังกฤษยังคงต่ำกว่าร้อยละ 35 ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าผลการทดสอบในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าร้อยละ 20 กล่าวคือ คิดเป็นร้อยละ 14.99  และ 19.22 เท่านั้น (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2555)
            สภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัยของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาโดยสุวรรณี  คำมั่น (2551: 88-89) ที่ได้ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวโน้มบริบทการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกและสังคมไทยภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ด้านสังคม พบว่า จุดอ่อนของการศึกษาไทย มีดังนี้
            1. คนไทยขาดทักษะด้านการคิด วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ทำให้การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์มีน้อย และมีข้อจำกัดด้านทักษะทางภาษาและทักษะด้าน ICT ทำให้การแสวงหาความรู้ อยู่ในวงแคบ
            2. การศึกษามีคุณภาพด้อย โดยเฉพาะการผลิตและพัฒนา เนื่องจากขาดแรงจูงใจให้คนดี คนเก่งเข้าสู่วิชาชีพครู การจัดกระบวนการเรียนการสอนไม่เกื้อหนุนการพัฒนาคุณภาพเด็ก เน้นการเรียนแบบท่องจำ ความคิดสร้างสรรค์มีน้อย การบูรณาการการเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างการคิดและพิจารณาปัญหาแบบองค์รวมยังเป็นจุดอ่อนสำคัญ
            3. การจัดการองค์ความรู้ในระดับชุมชนไม่เป็นระบบ ขาดการรวบรวมและนำไปใช้ประโยชน์ และการถ่ายทอดความรู้สู่บุคคลอื่นยังมีน้อย เป็นสาเหตุให้การเรียนรู้ของคนในชุมชนอยู่ในวงจำกัด
            4. สถาบันหลักทางสังคมมีบทบาทน้อยในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และพัฒนาศักยภาพคนไทย  ขณะเดียวกันวิถีชีวิตสมัยใหม่มีผลให้ความเชื่อศรัทธาในหลักศาสนาเสื่อมถอย ส่วนสถาบันการศึกษาให้ความสำคัญกับใบรับรองการศึกษามากกว่าการนำความรู้ที่มาปฏิบัติจริง
            5. คนไทยยังขาดความตระหนักในการดูแลสุขภาพตนเอง นำไปสู่การเจ็บป่วยและพัฒนาการทางด้านสมอง สติปัญญา และการเรียนรู้
            6. การเข้าถึงบริการทางการศึกษาของกลุ่มคนยากจนและผู้ด้วยโอกาสยังไม่ครอบคลุม ทำให้คนยากจนจำนวนมากยังขาดโอกาสทางการศึกษา
            นอกจากนี้ จากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอก รอบสอง (พ.ศ.2553) พบว่ายังมีสถานศึกษาจำนวนหนึ่งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษายังไม่ผ่านการรับรอง  ส่วนใหญ่เป็นสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ซึ่งผ่านการรับรองเพียง 79.68  ทั้งนี้ จากผลการประเมินในเบื้องต้นพบว่าสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่ผ่านการรับรองเนื่องจากมีปัญหาคุณภาพครู  สำหรับระดับอาชีวศึกษาพบว่าคุณภาพของอาจารย์ยังต่ำ โดยมีอาจารย์ที่มีวุฒิปริญญาตรี ร้อยละ 74.00 ที่เหลือต่ำกว่าปริญญาตรี และบัณฑิตที่ผลิตออกไปนั้นยังไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานในสาขาที่ประเทศต้องการ  ส่วนปัญหาคุณภาพของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคุณวุฒิและคุณภาพของอาจารย์  กล่าวคือ จำนวนอาจารย์ที่จบปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยมีเพียงร้อยละ 20 (สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2555)
            อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาการศึกษา (Office of the Education Council, 2008) ได้สรุปผลการจัดการศึกษาของประเทศไทย และได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาและเพิ่มคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะด้านคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550  แต่ผลการประเมินดังกล่าวข้างต้นยังเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการศึกษาไทยที่ยังอยู่ในขั้นวิกฤติและมีแนวโน้มที่จะมีคุณภาพต่ำลง  โดยเฉพาะคุณภาพของผู้เรียนในรายวิชาหลักที่เป็นตัวชี้ถึงความสามารถในการแข่งขัน  ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งพัฒนาคนเพื่อให้สามารถนำพาประเทศก้าวสู่ประคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ตามที่กำหนดในปี พ.ศ.2558 ไปพร้อม ๆ กับการเร่งระดมสรรพกำลังในการทบทวน ปรับปรุง แก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาต่ำที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่อย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็จะไม่สร้างประโยชน์แก่ประเทศไทยเท่าที่ควรจะเป็น

ประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมด้านการศึกษาอย่างไรเพื่อการก้าวสู่อาเซียน
ในการดำเนินงานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาเพื่อนำพาประเทศไปสู่การเป็นสมาชิกของประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์นั้น  ผู้เขียนเห็นว่าจำเป็นต้องมีการวางแผนดำเนินงานให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้การศึกษาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างแท้จริง  สำหรับแนวคิดในการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น พฤทธิ์  ศิริบรรณพิทักษ์ (2553 : 107-108)  ได้ให้แนวคิดไว้สรุปได้ว่าในระดับชาติจะต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์องค์รวมในการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยให้มีการบูรณาการ “การศึกษา” เข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์  และรัฐบาลควรแสดงบทบาทนำในการนำเสนอวิสัยทัศน์การพัฒนาที่ยั่งยืน  โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนและหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งหลักสูตรการเตรียมครูก่อนประจำการและการพัฒนาครูประจำการ  อีกทั้ง ได้เสนอแนวคิดให้ผู้นำรัฐบาลต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองในการจัดให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระเร่งด่วนของชาติและเล็งเห็นความสำคัญของการยกระดับจิตสำนึกของมหาชน และการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการ นอกจากนี้ ประชาคมทุกระดับ โดยเฉพาะระดับชาติต้องให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างองค์กรระดับชาติ  
จากแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยการใช้การศึกษาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เมื่อนำมาเชื่อมโยงกับแนวทางการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนนั้น  จะเห็นได้ว่าเท่าที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ.2555) รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามขับเคลื่อนการศึกษาให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน  โดยที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการที่ได้กำหนดการเตรียมความพร้อมและแนวทางการดำเนินงานทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  การอาชีวศึกษา  การอุดมศึกษา และการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ได้แก่ การจัดให้มีหลักสูตรอาเซียนศึกษา  การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรและนักเรียน  การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เชื่อมโยงภายในประชาคมอาเซียน การใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของประชาคมอาเซียน โดยกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งเป้าหมายให้นักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ โดยการสร้างศูนย์อำนวยการเพื่อให้ครูเจ้าของภาษามาสอน  พัฒนาการเรียนการสอนแบบ English for Integrated Studies (EIS) ซึ่งเป็นการสอนที่มีการ บูรณาการการสอนภาษาอังกฤษในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์  การพัฒนาห้องเรียนแห่งอนาคต (The Global Class) ซึ่งเป็นห้องเรียนอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเชื่อมโยงการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย และการอบรมภาษาอังกฤษให้กับครู  นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้เตรียมความพร้อมแก่บุคลากรและประชาชนสู่ประชาคมอาเซียนด้วยเช่นกัน ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม  กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน  กระทรวงวัฒนธรรม  กระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม เป็นต้น (ศรีวิการ์  เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 4 ; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2555 : 8-9)

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าการดำเนินงานด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาครู นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรให้มีความรู้เกี่ยวกับอาเซียน มีทักษะด้านภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการไปเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงไปยังครูและนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานในกิจกรรม/โครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศ หน่วยงานที่รับผิดชอบได้ดำเนินงานเฉพาะในโรงเรียนแกนนำหรือโรงเรียนนำร่องเพียงไม่กี่แห่งในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา  ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ในภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาเซียน อีกทั้ง ยังไม่ทราบถึงผลกระทบของอาเซียนที่จะมีผลต่อภาคธุรกิจและการดำรงชีวิตของตนเองและของคนไทยในอนาคต  นอกจากนี้ แผนการดำเนินงานในบางประการยังอยู่ในระดับการกำหนดแผนดำเนินงานที่ยังไม่นำไปสู่การปฏิบัติ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าการดำเนินงานเพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคนไทยให้มีความรู้ความสามารถ และคุณลักษณะตามที่อาเซียนกำหนดอย่างแท้จริงนั้น  กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่รับผิดชอบควรกำหนดแผนการพัฒนาครู นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตลอดถึงประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ต่อเนื่อง มีคุณภาพ และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้จริงโดยเร็ว  ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาไทยที่อยู่ในขั้นวิกฤติที่เป็นมาตั้งแต่อดีตและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ   นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลจะต้องยอมลงทุนทางการศึกษาที่ถือว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน เพื่อนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ในด้านการเมืองและความมั่นคง  ด้านเศรษฐกิจ  และด้านสังคมวัฒนธรรมตามหลักการของประชาคมอาเซียนต่อไป 

ประเทศไทยต้องปรับตัวด้านหลักสูตรและการสอนอย่างไร
จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษาวัตถุประสงค์ที่กำหนดในหลักการและข้อตกลงที่ปรากฏในลักษณะต่าง ๆ ของอาเซียน  รวมทั้งบทบาทของการศึกษาในการสร้างประชาคมอาเซียน  นโยบายด้านศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการดังที่ได้กล่าวสรุปมาแล้วในตอนต้น  อีกทั้ง การเข้าร่วมรับฟังข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มุมมองของนักการศึกษา  ตลอดจนข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอาเซียนทั้งจากเวทีการประชุมและจากเว็ปไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ  ผู้เขียนได้นำมาประมวลเพื่อนำมาเป็นฐานความคิดในการวิเคราะห์แนวโน้มด้านหลักสูตรและ        การสอนของประเทศไทยที่จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากหลักการและข้อตกลงของอาเซียน  โดยผู้เขียนเห็นว่าในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้นประเทศไทยต้องปรับตัวด้านหลักสูตรและการสอนในประเด็นดังต่อไปนี้  (สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2552 ; สุรินทร์  พิศสุวรรณ, 2555; สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2555 : 6-8 ; ศรีวิการ์  เมฆธวัชชัยกุล, 2555 : 1-4 ; ณรงค์  พุทธิชีวิน, 2555 ; จุไรศิริ       ชูรักษ์, 2555 : 191-203 ; Virginia A. Miralao and Lucille C. Gregorio, n.d. ; The official website of the Association of Southeast Asian Nations, 2009)  
1. ในระดับประเทศจะมีการกำหนดนโยบายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการศึกษาได้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล  โดยการจัดทำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพให้สามารถรองรับการเปิดเสรีด้านแรงงาน  ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาจะมีการดำเนินการโดยใช้มาตรฐานคุณวุฒิระดับสากลมาเป็นกรอบทิศทางในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร  ซึ่งหลักสูตรที่ปรับปรุงและพัฒนาขึ้นจะเป็นหลักสูตรที่มีชาวต่างชาติมาเข้าเรียน  จึงส่งผลให้แต่ละประเทศจะจัดทำเว็ปไซต์ของประเทศตนเองเป็นภาษาอังกฤษ  อีกทั้ง แต่ละประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับปฏิทินการศึกษาของประเทศตนเองให้สอดคล้องกันกับประเทศสมาชิก เพื่อให้มีการรับรองคุณวุฒิการศึกษาระหว่างกันได้  นอกจากนี้ การประเมินคุณภาพการศึกษา หลักสูตร และการสอนจะใช้ระบบมาตรฐานสากล  โดยการประเมินการศึกษาของประเทศไทยจะไม่เป็นการประเมินเพียงในระดับของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)  
2. หน่วยงานทางการศึกษาจะมีการเพิ่มหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยอาจจัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมจากสาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม หรือเป็นรายวิชาในหมวดศึกษาทั่วไปในระดับอุดมศึกษา หรือเป็นการบูรณาการเนื้อหาเข้ากับวิชาต่างๆ ในหลักสูตรเดิม เพื่อให้ผู้เรียนได้รู้จักประเทศอาเซียนในทุกมิติ  ทั้งนี้  จะมีการให้ความสำคัญมากขึ้นกับการจัดหลักสูตรอาเซียนให้เหมาะสมกับการศึกษาในแต่ละระดับชั้น โดยคำนึงถึงการจัดวางหลักสูตร รายวิชา และเนื้อหาอย่างเป็นระบบ และมีความต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในอนาคตอาจมีหลักสูตรแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Core Curriculum) กล่าวคือ อาจมีการจัดทำเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางของอาเซียนร่วมกัน เพื่อให้แต่ละประเทศได้นำเนื้อหาสาระการเรียนรู้แกนกลางเหล่านั้นไปใช้ในการเรียนการสอนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอาเซียน โดยยังเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศได้ใช้เนื้อหาสาระที่สอดคล้องกับสภาพความต้องการ อัตลักษณ์ และคุณลักษณะเฉพาะของประเทศของตนเป็นหลัก
3. กระบวนการเรียนการสอนตามหลักสูตรจะมุ่งเน้นเพื่อให้ได้ผู้เรียนที่มีคุณภาพ  โดยให้มีทั้งด้านความรู้  คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ ที่สนองตอบต่อความต้องการของความเป็นอาเซียน ดังนั้น การเรียนการสอนที่กำหนดให้มีการบูรณาการเนื้อหาอาเซียนสู่การเรียนการสอนจะไม่เพียงแต่บูรณาการเพียงเนื้อหาเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ และเจตคติที่ดีต่อการอยู่ร่วมกันในอาเซียนเท่านั้น  แต่จะให้ความสำคัญกับการบูรณาการทักษะต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน  โดยเฉพาะทักษะ 5C ที่จะบูรณาการสู่การเรียนการสอนในทุกรายวิชา ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative problem solving skills)  ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking skills)  ทักษะการร่วมมือ (Collaborative skills)  ทักษะการสื่อสาร (Communicative skills)  และทักษะคอมพิวเตอร์ (Computing skills)   
4. หน่วยงานที่จัดการศึกษาจะมุ่งพัฒนาหลักสูตรที่เน้นอาชีพและผลิตบัณฑิตใน 7 สาขา ในปริมาณที่มากขึ้น ได้แก่  วิศวกรรม การสำรวจ สถาปัตยกรรม แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล และบัญชี เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการจัดทำข้อตกลงที่เรียกว่า Mutual Recognition Agreement (MRA) เพื่ออำนวยความสะดวกในการยอมรับคุณสมบัติของนักวิชาชีพที่สำคัญร่วมกัน  ส่งผลให้มีการถ่ายเทแรงงานฝีมือได้เสรีมากขึ้น  ทั้งนี้ อาชีพเหล่านี้จะได้รับการยกเว้น ไม่มีการกีดกัน สามารถเดินทางไปประกอบอาชีพในประเทศอาเซียนอื่น ๆ ได้อย่างเสรี  นอกจากนี้ จะมีการผลิตบัณฑิตในสาขาพยาบาลผู้ใหญ่มากขึ้น  เนื่องจากสังคมไทยในอนาคตจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)  
5. สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาคธุรกิจและเอกชนจะมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ได้กำลังคนที่มีทักษะแรงงานที่มีฝีมือ และเป็นแรงงานที่มีมาตรฐาน โดยจะให้ความสำคัญกับการฝึกงานในรูปแบบต่างๆ และถือว่าการฝึกงานเป็นกระบวนการสำคัญที่สะท้อนถึงมาตรฐานของทักษะแรงงานในภาคปฏิบัติ 
6. ในระดับอาชีวศึกษา ประเทศสมาชิกจะร่วมกันกำหนดแนวทางให้มีการส่งเสริมให้เยาวชนในระดับอาชีวศึกษาได้รับทุนแลกเปลี่ยนจากประเทศสมาชิกเดินทางไปทำงานช่วงสั้นๆ ในระหว่างปิดภาคการศึกษาหรือกำหนดเป็นชั่วโมงฝึกงานในหลักสูตรต่าง ๆ เช่น หลักสูตรการบริการ ช่างฝีมือ และการท่องเที่ยว ฯลฯ  โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนในสายอาชีพมีประสบการณ์ตรงในการทำงานในประเทศสมาชิก  อีกทั้ง จะมีการแลกเปลี่ยนบุคลากร และนักศึกษาอย่างกว้างขวาง 
7. รูปแบบของหลักสูตรและการเรียนการสอนจะมีรูปแบบที่หลากหลายและมีทางเลือกแก่ผู้เรียนมากขึ้น ได้แก่ การเรียนทางไกล  การเรียนในระบบ  นอกระบบ และตามอัธยาศัย  ตลอดจนการเรียนตามความสนใจในหลักสูตรระยะสั้นต่าง ๆ  นอกจากนี้ แต่ละประเทศจะพัฒนาหลักสูตรที่เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ และหลักสูตรนานาชาติมากขึ้น โดยหลักสูตรและการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษจะมีเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก  ซึ่งเป็นหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาในระดับต่าง ๆ และหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ที่เป็นผลมาจากนโยบายการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนไทยสามารถสื่อสารกับประชาชนทุกประเทศในอาเซียนอย่างน้อยที่สุดเป็นภาษาอังกฤษ อีกทั้ง จะมีการให้เรียนรู้เพิ่มเติมภาษาอาเซียนอื่นอีกหนึ่งภาษาเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ใช้ในการเรียนการสอนสำหรับผู้สอนทุกระดับอีกด้วย
8. นโยบายระดับชาติจะให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการเรียนการสอนที่ยกระดับคุณภาพการศึกษาในรายวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นรายวิชาที่พัฒนาคนให้มีความสามารถในการแข่งขันในเวทีนานาชาติ  ซึ่งเป็นผลมาจากผลการประเมินในระดับต่าง ๆ ที่พบว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอยู่ในขั้นวิกฤติ ดังนั้น ในระดับนโยบายจะมีการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพในรายวิชาคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  และภาษาอังกฤษ  ส่วนในระดับปฏิบัติ ครูผู้สอนในรายวิชาดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาให้สามารถจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น  ซึ่งจากแนวทางการแก้ปัญหาทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติก็จะส่งผลให้มีการทบทวนหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ใน 3 รายวิชาดังกล่าว
9. องค์กรภาคเอกชนและภาคธุรกิจจะเข้ามาลงทุนทางการศึกษา โดยการเปิดหลักสูตร ตามที่ตนเองต้องการ  ที่ผ่านมาได้มีองค์กรสื่อสารมวลชน  องค์กรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ตลอดจนองค์กรธุรกิจด้านร้านอาหารได้เปิดสถาบันการศึกษาหรือสถาบันการสอนเพื่อผลิตและพัฒนาคนเข้าสู่วงการอาชีพที่ตนเองต้องการอย่างครบวงจร

สรุป
            การที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ด้าน  การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ส่งผลกระทบให้ประเทศไทยต้องปรับตัวในด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจโลก  โดยเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  สำหรับผลกระทบด้านการศึกษาของประเทศไทยนั้น ได้ส่งผลให้มีการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางการดำเนินงาน และแผนการเตรียมความพร้อมในหน่วยงานระดับต่าง ๆ  เพื่อให้ได้กำลังคนที่มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ กล่าวคือ คุณลักษณะของกำลังคนของอาเซียนที่สำคัญ ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการคิด  ทักษะการร่วมมือ  ทักษะการสื่อสาร และทักษะคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี  ทั้งนี้ การศึกษาจะเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนา โดยหลักสูตรและการสอนถือเป็นเครื่องมือสำคัญของตัวจักรในการจัดการศึกษาดังกล่าว  จากผลกระทบของประชาคมอาเซียนต่อการศึกษา จึงย่อมส่งผลให้หลักสูตรและการสอนของประเทศไทยได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน  โดยหลักสูตรและการสอนต้องมีการเปรับปรุงและพัฒนาไปในทิศทางเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถ คุณลักษณะ และทักษะต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การศึกษา หลักสูตร และการสอนของไทยเท่าที่ผ่านมายังมีปัญหาและอุปสรรคเป็นผลให้คุณภาพการศึกษาของไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ กล่าวคือ การบริหารวิชาการ  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้  และคุณภาพของผู้เรียนในระดับต่าง ๆ ยังไม่ได้มาตรฐาน  นอกจากนี้ คุณลักษณะของคนไทยและการบริหารจัดการทางการศึกษาในหลาย ๆ ด้านยังไม่เป็นที่น่าพอใจ  ดังนั้น นับจากนี้เป็นต้นไปจนถึงปี พ.ศ. 2558  ประเทศไทยจึงมีแนวโน้มที่จะมีรูปแบบหลักสูตรและการสอนใหม่ ๆ และหลากหลายเกิดขึ้น  นำไปสู่การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ปัญหาวิกฤติคุณภาพการศึกษาที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ก็ถือเป็นปัญหาสำคัญที่รอการแก้อย่างเร่งด่วน  หากคุณภาพการศึกษาไทยยังคงต่ำกว่ามาตรฐานอย่างที่เป็นอยู่  การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็ดูจะไม่สร้างประโยชน์แก่ประเทศไทยเท่าที่ควร  แต่กลับจะเป็นข้อเสียเปรียบในเวทีการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่มีลักษณะการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการบูรณาการอย่างสมบูรณ์กับเศรษฐกิจโลก       




เอกสารอ้างอิง

กรมประชาสัมพันธ์. (2555). ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนคืออะไร มีเป้าหมายอย่างไร และไทยได้ประโยชน์อย่างไร. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2555.  จาก   http://hq.prd.go.th/prTechnicalDM/ewt_news.php?nid=510.
จุไรศิริ  ชูรักษ์. (2555). ผลกระทบ ความพร้อม และการปรับตัวด้านการศึกษาของไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อาเซียนศึกษา (ASIAN STUDIES). สงขลา : มหาวิทยาลัย                      ราชภัฏสงขลา.
ณรงค์  พุทธิชีวิน. (2555).  เอกสารการประชุมปฏิบัติการ เรื่อง “บทบาทการเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเพื่อก้าวสู่สังคมอาเซียน” วันที่  6  มิถุนายน  พ.ศ. 2555                        ณ ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ  80 พรรษา, มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จังหวัดสงขลา.
พฤทธิ์  ศิริบรรณพิทักษ์.  (2553).  การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน : พื้นฐานการศึกษาด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยสัมพันธ์.
วิทยากร  เชียงกูล.  (2553).  สภาวะการศึกษาไทย ปี 2551/2552  บทบาทการศึกษาไทยกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม.  กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี.ที.ซี. คอมมิวนิเคชั่น. 
ศรีวิการ์  เมฆธวัชชัยกุล.  (2555).  ทิศทางและนโยบายการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน.  เอกสารประกอบการบรรยายในการประชุมเรื่อง มุ่งหน้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายน พ.ศ. 2555  ณ วิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว อำเภอเกาะสมุย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี  จังหวัดสุราษฎร์ธานี.
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ.  (2555). ประกาศผลสอบ O-NET ป.6  ม.3 และ ม.6.  สืบค้นเมื่อ  15  มีนาคม  2555.  จาก http://www.niets.or.th.
สุรินทร์  พิศสุวรรณ. (2555).  การบรรยายพิเศษ เรื่อง “ทิศทางการศึกษาไทยในประเทศประชาคมอาเซียน”  วันที่  28  พฤษภาคม  พ.ศ. 2555  ณ โรงเรียนมาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา.
สุวรรณี  คำมั่น. (2551). รายงานการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และแนวโน้มบริบทการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกและสังคมไทย ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ ด้านสังคม. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2552).  การศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากลยุทธ์ความร่วมมือด้านการศึกษากับประเทศเพื่อนบ้าน.  กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2555). เกี่ยวกับอาเซียน.  สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม  2555.  จากhttp://www.bic.moe.go.th/th/index.php?option=com_content&view=article&id=192&Itemid=148.
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา.  (2555).  (ร่าง) รายงานผลการพิจารณาและติดตามความพร้อมด้านการศึกษาสู่ประชาคมอาเซียน (26 พฤษภาคม 2554 – 2 เมษายน 2555).   เอกสารประกอบการบรรยายในการประชุมเรื่อง มุ่งหน้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายน พ.ศ. 2555  ณ วิทยาลัยนานาชาติการท่องเที่ยว อำเภอเกาะสมุย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี  จังหวัดสุราษฎร์ธานี.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.  (2551).  กรอบทิศทางการพัฒนาการศึกษาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550 – 2554) ที่สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2545 – 2559).  กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา. (2555). การประเมินคุณภาพภายนอก.  สืบค้นเมื่อ  15  พฤษภาคม  2555.  จาก http://www.onesqa.or.th.
Office of The Education Council.  (2007)Education in Thailand 2007.  Bangkok: Office of The Education Council.
The official website of the Association of Southeast Asian Nations.  (2009). About Asian (online). Available:  http://www.aseansec.org/. May 1, 2012.
Virginia A. Miralao and Lucille C. Gregorio. (n.d.).  “Synthesis of country reports and general trends and needs” Curriculum Changes Reforms in East and South-East Asia (Online). Available: http://www.ibe.unesco.org/curriculum/Asia%20Networkpdf/bkrep3.pdf . May 1, 2012.  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น