วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเรียนรุ้ความคิดรวบยอด

  การเรียนรู้ความคิดรวบยอด (Concept Learning)

ดร.จุไรศิริ  ชูรักษ์       

                         ความคิดรวบยอดเป็นพื้นฐานในการคิดของมนุษย์  และเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อความหมายต่อกัน  ความคิดรวบยอดมีความสำคัญสำหรับการเรียนและการดำรงชีพของมนุษย์มาก  จึงมีนักจิตวิทยาหลายท่านได้ให้ความสนใจและทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความคิดรวบยอดไว้อย่างกว้างขวาง  ดังเช่น  ออซูเบล Ausubel กล่าวถึงความสำคัญของความคิดรวบยอดไว้ว่า  คนเราอาศัยอยู่ในโลกของความคิดรวบยอด (Concept) มากกว่าโลกของความเป็นจริงตามธรรมชาติ  เพราะว่าพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นการคิด การสื่อความหมายระหว่างกัน การแก้ปัญหา  การตัดสินใจ  ล้วนต้องผ่านเครื่องกรองที่เป็นความคิดรวบยอดมาก่อนทั้งสิ้น  (ยุวดี  เพ็ชรประไพ, 2540)  ครูผู้สอนจึงควรให้ความสำคัญกับความคิดรวบยอด  ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการเรียนรู้ความคิดรวบยอดเพื่อเป็นพื้นฐานและเครื่องมือในการเรียนรู้  และนำไปใช้ในชีวิตจริงต่อไป  

                         คำว่า ความคิดรวบยอด มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า “Concept”  แต่ในภาษาไทยได้มีการเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น มโนทัศน์  มโนมติ  สังกัป  มโนคติ  มโนภาพ  เป็นต้น   ทั้งนี้  มีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายท่านที่สนใจศึกษาและเสนอแนะวิธีสอนความคิดรวบยอดไว้            ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป

ความหมายของความคิดรวบยอด (Concept)

                         นักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายท่าน  ได้ให้ความหมายของความคิดรวบยอด (Concept)  ไว้ดังนี้
                         Good  (1973  อ้างถึงใน ปริยา  ศุภวงศ์, 2543) ได้ให้ความหมายของ Concept ไว้ 3 ลักษณะ คือ
                         1. ความคิดหรือสัญลักษณ์ของส่วนประกอบหรือลักษณะร่วมที่สามารถจำแนกออกเป็นพวก ๆ ได้
                         2. สัญลักษณ์เชิงความคิดทั่วไป หรือเชิงนามธรรมเกี่ยวกับสถานการณ์ กิจการ หรือวัตถุ
                         3. ความรู้สึกนึกคิด ความเห็น หรือภาพความคิด
                         มลฤดี  ลิ่วเฉลิมวงศ์ (2541)  ให้ความหมายของความคิดรวบยอด ว่าหมายถึง  กระบวนการความคิดที่มีต่อสิ่งเร้า หรือเหตุการณ์ที่มีลักษณะเฉพาะร่วมกัน  โดยการแบ่งหรือเชื่อมโยง ประเภท การกระทำ  ความคิด  และลักษณะที่สำคัญของสิ่งเร้านั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน
                         สุรางค์  โค้วตระกูล (2545)  กล่าวว่า ความคิดรวบยอดเป็นคำที่เป็นนามธรรม  ใช้แทน  สัตว์  วัตถุ  สิ่งของ  ที่ได้จัดไว้ในจำพวกเดียวกันโดยถือลักษณะ (attribute)  ที่สำคัญหรือวิกฤติเป็นเกณฑ์

                         จากความหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า ความคิดรวบยอด มีความหมายที่เน้นไปในเรื่องของความคิด ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ดังนั้น  จึงอาจกล่าวได้ว่าความคิดรวบยอดของสิ่งใด ๆ ก็คือ ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ หรือสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นความคิดที่รับรู้ลักษณะร่วมหรือลักษณะที่เป็นตัวแทนของสิ่งนั้น ๆ นั่นเอง

ประเภทของความคิดรวบยอด

                         มีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาหลายท่าน  ได้จัดแบ่งประเภทของความคิดรวบยอดไว้  จะขอนำเสนอประเภทของความคิดรวบยอดจากนักการศึกษา จำนวน 2 ท่าน คือ Bruner และ Sussel  รายละเอียดดังนี้ (มลฤดี  ลิ่วเฉลิมวงศ์, 2541)
                         Bruner  ได้แบ่งประเภทของความคิดรวบยอดออกเป็น 3 ชนิด คือ
                         1. ความคิดรวบยอดร่วมลักษณะ (Conjunctive Concept)  เป็นความคิดรวบยอดที่เกิดจากการมีส่วนร่วมกันของลักษณะเฉพาะ (attribute)  ตั้งแต่ 2 ลักษณะขึ้นไป  เช่น สมุดสีเขียว  ดอกไม้สีแดง  สุนัข  แมว  และสิ่งที่เราพบเห็นเป็นส่วนใหญ่  ลักษณะร่วมกัน  ได้แก่  รูปร่าง ขนาด สี เป็นต้น
                         2. ความคิดรวบยอดแยกลักษณะ (Disjunctive Concept) เป็นความคิดรวบยอดบ่งถึงคุณลักษณะที่สังเกตได้  เป็นส่วนของวัตถุแต่ละชิ้นในกลุ่ม เช่น  กลุ่มที่จัดสัตว์สี่เท้าทุกชนิดไว้ด้วยกัน  หรือเสื้อผ่าทุกชิ้นที่มีลายเส้นในแนวตั้งไว้ด้วยกัน  เป็นต้น
                         3. ความคิดรวบยอดสัมพันธ์ลักษณะ (Relational Concept)  เป็นความคิดรวบยอดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก หรือส่วนประกอบของกลุ่ม  ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ สภาวะหรือสิ่งเร้าตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป  เช่น  การจัดกลุ่มให้ผู้ชาย  ผู้หญิง  และเด็ก  อยู่ด้วยกัน  การนำไม้ขีดไฟไปสัมพันธ์กับบุหรี่ เป็นต้น

                         ส่วน  Russel ได้แบ่งความคิดรวบยอดออกเป็นลักษณะ  คือ
                         1. ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Concept)  คือความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเลข  การวัด ซึ่งมีอยู่ในชีวิตประจำวัน
                         2. ความคิดรวบยอดในเรื่องเวลา (Concept of Time)  เป็นความคิดรวบยอดที่มี              ความสัมพันธ์กับความคิดรวบยอดในเรื่องที่ว่าง (Concept of Space)  คือความคิดรวบยอดในเรื่องเวลา เป็นนามธรรมมากกว่า  เช่น  กลางวัน  กลางคืน  เช้า  บ่าย  และฤดูต่าง ๆ เป็นต้น
                         3. ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) คือการที่บุคคลมีความรู้สึกว่าตัวเขาเองคือใคร  เป็นอะไร  เป็นอย่างไร
                         4. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Concept)  เป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวพันกับเวลาและที่ว่างรวมอยู่ด้วย
                         5. ความคิดรวบยอดทางสังคม (Social Concept)  เป็นความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ชุมชน  ประชาธิปไตย ศีลธรรม
                         6. ความคิดรวบยอดทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Concept)  เป็นความคิดรวบยอดซึ่งสัมพันธ์กับความคิดรวบยอดที่เกี่ยวกับความสวยงาม  และขึ้นอยู่กับความคิดรวบยอดทางสังคม เช่น สุนทรียภาพในห้องเรียน รูปภาพ  ดนตรี  เป็นต้น
                         7. ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความขบขัน (Humoristic Concept)  เป็นความคิดรวบยอดที่อยู่ในข่ายของสังคมที่บุคคลนั้นได้ประสบเป็นประจำ  ซึ่งบางสิ่งเป็นของขบขันในสังคมหนึ่ง  แต่อาจไม่ขบขันในอีกสังคมหนึ่งก็ได้
                         8. ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ (Miscellaneous Concept)  เช่น  เกี่ยวกับ                ความตาย  เพศ  สงคราม  เป็นต้น

                         จากประเภทของความคิดรวบยอดดังกล่าวนั้น  จะเป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอนใน              การจัดการเรียนการสอน กล่าวคือ  หากผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจในประเภทของความคิดรวบยอดแล้ว  ก็จะสามารถนำความรู้ความเข้าใจดังกล่าวไปใช้ในการวางแผน ส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนให้สอดคล้องกับประเภทของความคิดรวบยอดได้

กระบวนการเรียนรู้ความคิดรวบยอด

                         ออซุเบล (Ausubel, 1968  อ้างถึงในสุรางค์  โค้วตระกูล, 2545) ได้นำเสนอกระบวนการเรียนรู้ความคิดรวบยอดแบ่งออกได้ 2 อย่าง คือ Concept Formation กับ Concept Assimilation  มีรายละเอียดการเรียนรู้แต่ละอย่างดังนี้
                         1. Concept Formation หมายถึง  การเรียนรู้ความคิดรวบยอดจากประสบการณ์ของ   การเรียนรู้  เป็นการเรียนรู้โดยการค้นพบหรือใช้วิธีอุปมาน (Inductive Process)  ตัวอย่างเช่น  เด็กที่เรียนรู้ความคิดรวบยอดของเครื่องใช้ประจำวัน  เช่น  หมวก  รองเท้า  โดยการมีประสบการณ์ว่าถ้าจะออกไปข้างนอกจะต้องสวมหมวกที่ศีรษะ  สวมรองเท้าที่เท้า  เป็นต้น  เด็กรับรู้รูปร่าง หมวก และคำว่า หมวก แทนสิ่งที่ตนรับรู้และมีมโนภาพ
                         2. Concept Assimilation  เป็นกระบวนการเรียนรู้ความคิดรวบยอดแบบอนุมาน (Deductive Process)  โดยทราบคำจำกัดความของความคิดรวบยอด  พร้อมกับตัวอย่างของความคิดรวบยอดและคุณลักษณะวิกฤติ (Critical Attributes)  ของความคิดรวบยอดนั้น  เด็กโตและผู้ใหญ่ใช้กระบวนการ Concept Assimilation

                         ส่วน Podell  (อ้างถึงใน มลฤดี  ลิ่วเฉลิมวงศ์, 2541)   ได้แบ่งกระบวนการสร้างความคิดรวบยอดเป็น 2 กระบวนการ คือ
                         1. การมองเห็นลักษณะร่วม (composition photograph)  คือ การที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นหรือเข้าใจลักษณะร่วมของวัตถุ หรือสถานการณ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  โดยที่ผู้เรียนมิได้ทำกิจกรรมเพื่อค้นหาความคิดรวบยอดมากมายนัก  เช่น  เด็กสามารถเห็นสุนัขบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่สุนัขเหล่านั้นเป็นชนิดที่แตกต่างกันหลายชนิดด้วยกัน  เด็กที่สามารถเห็นลักษณะของสุนัขได้  เช่น มีสี่ขา  มีปากยาว  มีหาง ฯลฯ  ครั้งต่อไปถ้าเขาเห็นสัตว์เช่นนี้อีก  เขาก็ทราบว่ามันเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน
                         2. การทำกิจกรรมเพื่อค้นหาความคิดรวบยอด  (active search)  คือ  การที่ผู้เรียนต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อค้นหาความคิดรวบยอด  โดยที่ผู้เรียนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าลักษณะร่วมของสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นคืออะไร  แล้วจึงค่อยทำกิจกรรม  เพื่อเป็นการทดสอบการสร้างความคิดรวบยอด  แบบนี้ผู้เรียนไม่ได้อยู่เฉย  แต่ต้องมีการกระทำกิจกรรมอยู่เสมอ

                         จากกระบวนการเรียนรู้ความคิดรวบยอดดังกล่าวข้างต้น  เป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอนในการเป็นนำไปใช้เป็นแนวทางวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ความคิดรวบยอดแก่ผู้เรียนได้  ทั้งนี้  การจะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ความคิดรวบยอด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดกิจกรรมอย่างเป็นระบบให้ผู้เรียนได้กระทำกิจกรรม

ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความคิดรวบยอด

                         ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความคิดรวบยอด  มีดังนี้ (ปริยา  ศุภวงศ์, 2543)
                         1. สิ่งเร้า  ถ้าสิ่งเร้ามีความชัดเจนสมบูรณ์  จะช่วยให้บุคคลสามารถแยกแยะความคล้ายคลึง และความแตกต่างของวัตถุสิ่งของที่พบใหม่  เพื่อจัดให้อยู่รวมหมวดหมู่ หรือแยกออกจากกันได้สะดวก
                         2. ความสามารถในการรับรู้  ตีความหมาย  และการบันทึกความจำ  บุคคลที่สามารถรับรู้  และตีความหมายได้รวดเร็ว  จำได้แม่นยำ  จะสามารถสร้างความคิดรวบยอดได้เร็ว  ลักษณะของบุคคลที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นนี้ได้ ได้แก่  อายุ กล่าวคือ  เด็กมีความไวต่อการรับรู้และจดจำได้ดีกว่าผู้ใหญ่  เพราะเซลล์ประสาทอยู่ในระยะที่กำลังเจริญเติบโต  ส่วนอีกลักษณะหนึ่งคือ ประสบการณ์  กล่าวคือ ผู้ใหญ่มีประสบการณ์มากกว่าเด็ก  สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ให้เกิดความคิดรวบยอดได้ง่ายกว่าเด็ก
                         3. ความสามารถในการจำแนกแยกแยะเหตุการณ์ หรือสิ่งเร้า  บุคคลที่มีระดับสติปัญญาสูง  มีความเฉลียวฉลาดย่อมมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็วกว่า
                         4. ความสามารถในการสร้างจินตนาการ  บุคคลที่มีความสามารถในการสร้างจินตนาการได้ดี  จะสามารถสร้างความคิดรวบยอดได้ง่าย  เพราะของบางสิ่งเป็นนามธรรมไม่อาจมองเห็นได้
                         5. ความสามารถในการใช้ภาษา  บุคคลที่มีความสามารถทางภาษาดีจะสามารถสื่อสาร ความคิดรวบยอดได้อย่างถูกต้องและชัดเจน

                         จากปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความคิดรวบยอดดังกล่าวข้างต้น  สรุปได้ว่าความคิด           รวบยอดมีระดับความยากง่าย  ละเอียด  ลึกซึ้ง  สำหรับคนแต่ละคนแตกต่างกัน  คนในวัยเดียวกันอาจมีการรับรู้ความคิดรวบยอดอย่างเดียวกันแตกต่างกันได้  และคนต่างวัยก็มีการรับรู้ความคิดรวบยอดแตกต่างกันด้วย  ทั้งวัย  วุฒิภาวะ  ความรู้  และประสบการณ์  ล้วนมีผลต่อการรับรู้ความคิดรวบยอดของคนเราให้แตกต่างกันไป 


ประโยชน์ของการเรียนรู้ความคิดรวบยอด

                         สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเรามีความซับซ้อน ทั้งเหมือนกันและแตกต่างกันออกไป  ดังนั้น  ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมท่ามกลางสิ่งแวดล้อมดังกล่าวนั้น  จำเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์เราจะต้องใช้ความสามารถในการเรียนรู้ความแตกต่างและความเหมือนกันของสิ่งต่าง ๆ ที่มีความสลับซับซ้อนเหล่านั้น  ดังนั้น  จึงใช้กระบวนการจัดประเภทในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอด   ความคิดรวบยอดจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วขึ้น  เพราะเกิดการจัดระเบียบของข้อมูลไว้ในสมองเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเจอกับข้อมูลใหม่  ก็จะสามารถจำแนกจัดหมวดหมู่ และเชื่อมโยงกับความคิดรวบยอดที่มีอยู่ได้ง่ายขึ้น  และยังช่วยลดความซับซ้อนของสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว  อีกทั้ง ช่วยลดความจำเป็นในการศึกษาเรียนรู้ความรู้ที่เรารู้แล้ว  ตลอดจนช่วยให้เราสามารถแยกแยะ อธิบาย บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้ได้  นอกจากนี้  ยังเป็นแนวทางในการวางแผนกิจกรรม ต่าง ๆ ที่เราจะทำในอนาคตได้ 

                         เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ของการนำการเรียนรู้ความคิดรวบยอดไปใช้ในการจัด การเรียนรู้  จะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียนและผู้สอน  สรุปได้ดังนี้

                         ประโยชน์ของการเรียนรู้ความคิดรวบยอดผู้เรียน ดังนี้
                         1. ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่มีระบบระเบียบ  ไม่สับสน จดจำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก
                         2. ทำให้เกิดความประหยัดที่ไม่ต้องเรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้มากจนเกินความจำเป็น
                         3. ทำให้สามารถนำความรู้ไปใช้ได้กว้างขวาง  สื่อสารทำความเข้าใจกับผู้อื่นเป็นไปด้วยดี  และเสริมความรู้ต่อไปได้มากขึ้นและเร็วขึ้น

                         ประโยชน์ของการเรียนรู้ความคิดรวบยอดต่อผู้สอน  ดังนี้
                         1. ช่วยให้ผู้สอนทราบถึงสิ่งที่ควรเน้นในการสอนแต่ละเรื่อง  ว่าต้องการให้ผู้เรียนได้รับอะไรบ้าง
                         2. ความคิดรวบยอดเป็นแนวชี้แนะให้ผู้สอนจัดกิจกรรมได้ตรงเป้าหมาย
                         3. ช่วยให้ผู้สอนได้ให้แนวคิดที่ถูกต้องแก่ผู้เรียน  สามารถเป็นพื้นฐานของทัศนคติและพฤติกรรมของผู้เรียนได้
                         4. เป็นเกณฑ์ที่ช่วยให้การเขียนเนื้อหากระชับและอยู่ในแนวทางจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
                         5. เป็นพื้นฐานในการเขียนหน่วยการสอนหรือแผนการสอนให้สามารถบูรณาการเนื้อหาที่มีหลักการหรือความคิดรวบยอดที่คล้ายคลึงกันได้
                         6. ช่วยให้ผู้สอนประเมินได้ว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ไปมากน้อยเพียงใด

หลักการสอนความคิดรวบยอด
                                                                          
                         นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ศึกษาถึงหลักการสอนความคิดรวบยอดไว้หลายท่าน  จะขอนำเสนอหลักการสอนความคิดรวบยอดของ ออซุเบล (Ausubell) และ คลอดสไมเออร์และ         เฟรเยอร์ (Klausmeier and Frayer)  มีรายละเอียดดังนี้  (สุรางค์  โค้วตระกูล, 2545 ; มหาวิทยาลัย        พระจอมเกล้าธนบุรี, 2548) 
                         1. หลักการสอนความคิดรวบยอดของออซุเบล (Ausubel)
                         Ausubel  เสนอหลักการสอนที่เรียกว่าที่รู้จักโดยทั่วไปว่า “Top – Down”  ซึ่งเชื่อว่า
ถ้าผู้เรียนได้เรียนความคิดรวบยอดที่มีความหมายกว้างครอบคลุมความคิดรวบยอดย่อยหลาย ๆ อย่างก่อน  โดยรู้คุณลักษณะที่สำคัญ หรือวิกฤติของความคิดรวบยอดนั้น  ก็จะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถจัดความคิดรวบยอดย่อยที่มีคุณลักษณะร่วมให้อยู่ภายใต้ได้    ทั้งนี้ Ausubel เสนอหลักการสอนดังนี้             
                                1.1 เริ่มด้วยความคิดรวบยอดที่มีความหมายกว้างและมีคุณลักษณะวิกฤติที่สามารถคลุมความคิดรวบยอดที่ย่อยออกไปหลาย ๆ ชนิด
                                1.2 เน้นให้ผู้เรียนทราบถึงคุณลักษณะวิกฤติของความคิดรวบยอด
                                1.3 จัดกลุ่มสิ่งเร้าที่มีคุณลักษะวิกฤติร่วมกับความคิดรวบยอดที่ได้บอกผู้เรียนในข้อหนึ่ง
                                1.4 ให้ตัวอย่างเฉพาะสิ่งเร้า  ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์  วัตถุ  สิ่งของที่มีคุณลักษะเหมือนกับความคิดรวบยอด
                                1.5 สรุปลักษณะที่เด่นหรือวิกฤติของความคิดรวบยอดย่อย  พร้อมกับให้ตัวอย่าง

                         2. หลักการสอนความคิดรวบยอดของ กานเย (Gagne’)
                         Gange’  (อ้างถึงใน สุรางค์  โค้วตระกูล, 2545)  ได้เสนอรูปแบบการสอนที่เรียกว่า Bottom – up Model   ซึ่งเป็นวิธีที่ตรงข้ามกับ Ausubel  มีหลักการในการสอนความคิดรวบยอด  ที่เริ่มสอนจากความคิดรวบยอดที่เฉพาะและง่ายก่อน  โดยให้ผู้เรียนทราบคำจำกัดความและคุณลักษณะของความคิดรวบยอดเพื่อจะได้ใช้เป็นพื้นฐานที่จะสร้างกฎ หรือหลักการที่จะเรียนรู้ความคิดรวบยอดที่กว้างหรือสูงขึ้น โดยมองเห็นความสัมพันธ์ของความคิดรวบยอดเฉพาะกับความคิดรวบยอดรวม

                         3. หลักการสอนความคิดรวบยอดของ คลอสไมเออร์ (Klausmeir)  และ เฟรเยอร์ (Frayer)
                         คลอสไมเออร์ (Klausmeir)  และ เฟรเยอร์ (Frayer) แบ่งการสอนความคิดรวบยอดเป็น 3 รูปแบบ  คือ  1)การสอนขั้นรูปธรรมและขั้นเหมือน   2)การสอนความคิดรวบยอดประเภทการจัดกลุ่มขั้นต้น  และ  3) การสอนความคิดรวบยอดขั้นที่มีวุฒิภาวะและขั้นสูง   โดยมีรายละเอียดในแต่ละขั้น ดังนี้

                                 3.1 หลักการสอนความคิดรวบยอดขั้นรูปธรรมและขั้นเหมือน
                                       (Concrete / Indentify Level Process)
                                          1) แสดงตัวอย่างซึ่งอาจจะเป็นของจริงหรือรูปภาพ  พร้อมกับมีของที่เหมือนกับตัวอย่างไว้หลาย ๆ อย่าง 
                                         2) ในขณะที่แสดงตัวอย่างให้ผู้เรียนดู  ครูจะต้องบอกชื่อความคิดรวบยอดพร้อม ๆ กับตัวอย่าง
                                          3) ครูจะต้องบอกข้อมูลย้อนกลับให้ผู้เรียนทันทีว่าคำตอบของผู้เรียนถูกหรือผิด  การบอกให้ผู้เรียนทราบทันทีว่าคำตอบของผู้เรียนถูกหรือผิดจะช่วยให้ผู้เรียนจำสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น
                                          4) ครูควรจะแสดงรูปภาพที่มีขนาดต่างกันไป หรือสีต่างกันไปให้ผู้เรียนดูและถามให้ผู้เรียนบอกว่าคืออะไร
                                          5) ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องสอนผู้เรียนซ้ำตั้งแต่ขั้นหนึ่งถึงขั้นสี่ก็ควรจะทำ  เพื่อความแน่ใจว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิดรวบยอดที่ครูตั้งใจจะสอน 

                                 3.2 หลักการสอนความคิดรวบยอดประเภทการจัดกลุ่มขั้นต้น
                                     (Beginning Classificatory Level)
                                         1) ครูยกตัวอย่างความคิดรวบยอดที่ต้องการจะเสนอพร้อมกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวอย่างสัก 2-3 ชนิด
                                          2) ช่วยหรือแนะให้ผู้เรียนใช้วิธีอนุมานหรืออุปมาน  เพื่อจะหาคุณลักษณะพิเศษของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
                                          3) ให้ผู้เรียนให้คำจำกัดความของ สี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้วนตนเอง
                                          4) ให้นักเรียนชี้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่อยู่กับรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอื่น ๆ โดยใช้คุณลักษณะวิกฤติที่นักเรียนค้นพบในขั้นที่ 2 เป็นเกณฑ์
                                 3.3 หลักการสอนความคิดรวบยอดขั้นที่มีวุฒิภาวะและขั้นสูง
                                          (Mature Classificatory and Formal Level)
                                          1) เตรียมผู้เรียนให้มีความสนใจและใส่ใจความคิดรวบยอดที่จะเรียนรู้  โดยบอกชื่อความคิดรวบยอดที่จะเรียน
                                          2) ให้ตัวอย่างและสิ่งที่ไม่ใช่ตัวอย่างของความคิดรวบยอดที่ให้นักเรียนเรียนรู้พร้อมกับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวอย่าง  โดยให้ดูรูปภาพหรือของนั้น
                                          3) ช่วยนักเรียนให้ตั้งคำถามที่จะทำได้  สามารถบอกชื่อความคิดรวบยอดที่จะเรียนรู้ได้  ตัวอย่างคำถามที่จะใช้ทายชื่อของความคิดรวบยอด  สี่เหลี่ยมจัตุรัส  มีดังต่อไปนี้
                                                -  เป็นรูปหน้าราบใช่ไหม
                                                - เป็นรูปปิดทุกด้านใช่ไหม
                                                - เป็นรูปที่เรียบง่ายใช่ไหม
                                                - มี 4 ด้านใช่ไหม
                                                - ด้านทั้ง 4 ด้านมีความเท่ากันไหม
                                                - มุมทั้ง 4 มุมเท่ากันหรือไม่
                                          4)  ให้ผู้เรียนใช้คำจำกัดความของความคิดรวบยอดและคุณลักษณะที่สำคัญหรือวิกฤตของความคิดรวบยอด  โดยคำพูดของนักเรียนเอง
                                          5)  ครูควรพยายามให้ผู้เรียนมีโอกาสใช้ความคิดรวบยอดที่เรียนรู้แล้วแก้ปัญหาต่อไป
                                          6) ครูควรบอกให้ผู้เรียนทราบความคิดรวบยอดที่เรียนมานั้นผิดหรือถูก


                         จากหลักการสอนความคิดรวบยอดของนักจิตวิทยาดังกล่าวข้างต้น  มลฤดี  ลิ่วเฉลิมวงศ์ (2541)  ได้นำมากำหนดเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิด-รวบยอด มีขั้นตอนของกิจกรรม ดังนี้
                         1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  เป็นขั้นที่แจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าจะเรียนเรื่องอะไรเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความสนใจและทราบว่าจะเรียนอะไร  ในขั้นนี้ครูควรแสดงคำที่เป็นชื่อความคิดรวบยอดที่สอนโดยใช้บัตรคำหรือเขียนบนกระดานดำ  เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ  จึงควรบอกประโยชน์ของความคิดรวบยอดที่จะเรียน
                         2. ขั้นแสดงตัวอย่าง  ขั้นนี้มีความสำคัญมาก  ครูอาจำของจริงหรือรูปภาพให้ผู้เรียนดู  เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดอย่างชัดเจน  ครูควรแสดงตัวอย่างทั้งที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายคลึงจะยิ่งดี
                         3. ขั้นสรุปรวบยอด  หลังจากครูแสดงตัวอย่างให้ผู้เรียนดูแล้ว  ก็ให้ผู้เรียนพยายามสรุปความคิดรวบยอดด้วยตนเองว่าตัวอย่างที่ครูแสดงมีลักษณะอย่างไร  ซึ่งผู้เรียนต้องพยายามตั้งสมมติฐานและทดสอบสมมติฐานในใจ  ครูจึงเป็นผู้ที่บอกว่าที่ผู้เรียนสรุปนั้นถูกหรือผิด  ครูจะไม่เป็นผู้สรุปแต่เป็นผู้แนะนำในบางครั้งเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอด
                         4. ขั้นทดสอบ  เมื่อผู้เรียนสรุปความคิดรวบยอดได้แล้ว  ครูจะต้องทดสอบความเข้าใจของผู้เรียน เพื่อให้เกิดความถูกต้อง  แม่นยำ และละเอียดพอ  ในความเข้าใจความคิดรวบยอดของผู้เรียน

                         จากหลักการสอนความคิดรวบยอดดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  การสอนความคิดรวบยอดเป็นสิ่งสำคัญมาก  ความคิดรวบยอดจะต้องเรียนเป็นไปตามลำดับพัฒนาการ  ทั้งนี้  การสอนความคิดรวบยอดที่นักจิตวิทยาเสนอแนะไว้นั้นมีหลายรูปแบบ  ครูผู้สอนจะต้องรู้จักเลือกใช้  โดยคำนึงถึงธรรมชาติของวิชาที่สอน วัยและพัฒนาการของผู้เรียนเป็นสำคัญด้วย 

                         ทั้งนี้ การสอนความคิดรวบยอดนั้นมีหลายวิธี  ถ้าจะจัดกลุ่มการสอนใหญ่ ๆ ของ                     การสอนสามารถจัดได้เป็น 2 ลักษณะ คือ  การสอนแบบ Deductive  กับการสอนแบบ Inductive    ลักษณะการสอนดังกล่าว มีลักษณะดังนี้ (นาตยา  ปิลันธนานนท์, 2542)

                         1. ลักษณะการสอนความคิดรวบยอดแบบ Deductive
                                1.1 กำหนดความคิดรวบยอดที่จะสอน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบ
                                1.2 อธิบายความหมายของความคิดรวบยอดนี้
                                1.3 ให้ผู้เรียนดูและคัดเลือกสิ่งที่เป็นตัวอย่างและที่ไม่ใช่ตัวอย่างของความคิด-          รวบยอดนี้
                                1.4 ให้ผู้เรียนเสนอตัวอย่างใหม่เพิ่มเติมที่เป็นตัวอย่างของความคิดรวบยอดนี้
                                1.5 ให้ผู้เรียนสรุป อธิบาย อีกครั้งหนึ่งว่าความคิดรวบยอดนี้เป็นอย่างไร

                         2. ลักษณะการสอนความคิดรวบยอดแบบ Inductive
                                2.1 ไม่บอกความคิดรวบยอดและอธิบายความหมายของความคิดรวบยอดนั้นแก่ผู้เรียนก่อน
                                2.2 ให้ผู้เรียนดูตัวอย่าง  แล้วให้คัดเลือกว่าตัวอย่างเหล่านี้มีอะไรที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้และอะไรที่ไม่เข้ากลุ่มกัน
                                2.3 ให้ผู้เรียนสังเกตลักษณะที่มีอยู่ร่วมกันในตัวอย่างที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนั้น
                                2.4 ให้ผู้เรียนคิดตั้งชื่อคำหรือกลุ่มคำจากตัวอย่างเหล่านี้
                                2.5 ให้ผู้เรียนสรุป อธิบาย ความหมายของคำหรือกลุ่มคำที่ตั้งขึ้นว่าหมายความว่าอย่างไร

                         จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ความคิดรวบยอด  ครูผู้สอนสามารถตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอดหรือไม่  โดยดูว่าผู้เรียนสามารถบอก  ระบุ  เรียกชื่อ  ความคิดรวบยอดนั้นได้  และสามารถคัดเลือก จำแนก  แยกแยะ  ยกตัวอย่าง  และที่ไม่ใช่ตัวอย่างของความคิดรวบยอดนั้น   อีกทั้ง  สามารถบอกลักษณะของความคิดรวบยอดนั้นได้  ตลอดจนสามารถอธิบาย สรุปความหมายของความคิดรวบยอดนั้น  จากความรู้ ความเข้าใจของตนเอง และด้วยภาษาคำพูดของตนเอง

เทคนิควิธีสอนความคิดรวบยอด

                         ในการส่งเสริมการเรียนรู้ความคิดรวบยอด ได้มีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ศึกษาวิธีการและกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาความคิดรวบยอดของผู้เรียน  วิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ก็คือ การใช้สิ่งช่วยจัดความคิดรวบยอด (Organizers)  รายละเอียดดังนี้

                         สิ่งช่วยจัดความคิดรวบยอด (Organizers)  หมายถึง สิ่งที่นำมาใช้เพื่อวางรากฐานหรือเค้าโครงความคิดให้แก่ผู้เรียน หรือประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน  โดยอาศัยวิธีการและสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น โสตทัศนวัสดุและอุปกรณ์  หรือสิ่งพิมพ์เป็นตัวนำเสนอ  สื่อดังกล่าวเหล่านี้รวมทั้งคำพูดด้วย  จะช่วยให้ผู้เรียนได้เห็น ได้ฟัง หรือได้ยิน  สิ่งที่จะเป็นพื้นฐานแก่การรับรู้และการเรียนรู้ (ปริยา    ศุภวงศ์, 2543)  
                         ออซุเบล (Ausubell, 1968  อ้างถึงในยุวดี  เพ็ชรประไพ, 2540) ได้ศึกษาพบว่า  การนำบางสิ่งบางอย่างมาใช้กับสื่อการเรียนการสอนจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของระบบความคิดของบุคคลให้ต่อโยงกับการเรียนรู้และความจำข้อมูลที่จะรับมาใหม่ในสาขาเดียวกันอย่างมีความสัมพันธ์กัน  ถ้าโครงสร้างของระบบความคิดจัดลำดับไว้เหมาะสมชัดเจนและมีความมั่นคงไว้ก่อนแล้ว            การเรียนรู้สิ่งใหม่จะเกิดขึ้นได้ดีและแม่นยำ  แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าโครงสร้างของระบบความคิดจัดลำดับไว้สับสนไม่ชัดเจนหรือไม่ได้สร้างให้เกิดสมาธิให้จดจ่อไว้ก่อน  บุคคลจะรับรู้และจำความรู้ใหม่ได้น้อยหรือไม่ยอมรับรู้เลย   หน้าที่ของสิ่งช่วยจัดความคิดรวบยอดก็คือ การช่วยจัดโครงสร้างความคิดรวบยอดให้รวมกันอย่างมั่นคงและสร้างความคงทนในการเรียนรู้เนื้อหาให้มากขึ้น และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นความแตกต่าง  ความคล้ายคลึง หรือความคิดที่ขัดแย้งกับโครงสร้างของความรู้ความจำ

                                      นาตยา  ปิลันธนานนท์  (2542)  ได้เสนอเทคนิควิธีสอนความคิดรวบยอดไว้  ซึ่งเห็นว่าสอดคล้องกับสิ่งช่วยจัดความคิดรวบยอด (Organizers)  ดังกล่าวข้างต้น  มีทั้งสิ้น  13  เทคนิค  ได้แก่ 1) วิธี Deductive และ Inductive 2) การใช้กราฟิก Branching Diagram  3) การใช้กราฟิก                    Web Diagram  4) การใช้กราฟิก Venn Diagram  5) การใช้กราฟิก Interval Graph  6) การใช้กราฟิก Order Graph  7) การใช้กราฟิก Cycle Graph  8) การใช้กราฟิก Flowchart Diagram  9) การใช้กราฟิก Matrix Diagram  10) การใช้คำถาม ประเภทของคำถาม  11) การใช้คำถาม คุณภาพของคำถาม                 12) การใช้คำถาม  และ 13) KWL และ  SQ3R    ทั้งนี้จะขอนำเสนอตัวอย่างเทคนิควิธีสอนความคิดรวบยอดโดยใช้ Venn Diagram  


สรุป
                         การเรียนรู้ความคิดรวบยอดเป็นสิ่งสำคัญที่นักจิตวิทยาและนักการศึกษาให้ความสนใจและศึกษา  เนื่องจากความคิดรวบยอดเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ   ดังนั้น  ครูผู้สอนจึงควรศึกษาเพื่อส่งเสริมและจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนพัฒนาในการคิดรวบยอด  เนื่องจากความคิดรวบยอดจะช่วยลดความซับซ้อนของสิ่งแวดล้อม  ทั้งนี้  ความสามารถในความคิดรวบยอดหรือความสามารถที่จะลดความซับซ้อนของสิ่งแวดล้อมสัมพันธ์กับอายุ และระดับสติปัญญา  อย่างไรก็ตาม  ครูผู้สอนก็สามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกและพัฒนาความคิดรวบยอดได้  สำหรับวิธีการส่งเสริมและพัฒนาความคิดรวบยอดนั้น  ได้มีนักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ศึกษาวิจัยและนำเสนอไว้หลายวิธีและหลายรูปแบบ  ดังนั้น  ครูจึงควรนำวิธีการและรูปแบบดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับผู้เรียนให้เหมาะสมกับธรรมชาติของวิชา  วัย และพัฒนาการของผู้เรียนด้วย 

  
เอกสารอ้างอิง


ปริยา  ศุภวงศ์.  2543.  การเปรียบเทียบการสอนโดยใช้เทคนิคกราฟิกกับการสอนแบบปกติที่มีต่อความคิดรวบยอดในวิชาพื้นฐานอารยธรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยศรีปทุม. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท  มหวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

มลฤดี  ลิ่วเฉลิมวงศ์.  2541.  การพัฒนาความคิดรวบยอดวิชาสังคมศึกษา  เรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติของไทย  โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน.  วิทยานิพนธ์ปริญญาโท  มหวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.  2548.  หน่วยการเรียนที่  11  หลักการและวิธีสอน EDT313  วิชาจิตวิทยาการศึกษา.  (Online).  Available : http://edt.kmutt.ac.th/E-learning/project_phycology/unit11.htm.                    October 5, 2005.

ยุวดี  เพ็ชรประไพ.  2540.  การศึกษาการจัดความคิดรวบยอดทางการเรียน 2 รูปแบบด้วยบทเรียนสไลด์เทป เรื่อง โรคเอดส์  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท  มหวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

สุรางค์  โค้วตระกูล.  2545.  จิตวิทยาการศึกษา.  พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.










5 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ได้ความรู้เทคนิคการสอนความคิดรวบยอด จะลองนำเทคนิคนี้ไปใช้นะคะ

    ตอบลบ
  3. ขอตัวอย่าง ความคิดรวบยอดครับ เช้น จะสอนเรือง แสง ความคิดรวบยอดคืออะไร

    ตอบลบ
  4. ด้านคอมฯเหมือนเรื่องอัลกอริทึมครับ

    ตอบลบ